HoonSmart.com>>บล.ทิสโก้วิเคราะห์หุ้นไฟฟ้า เพิ่มน้ำหนักบี.กรีมฯ แถมราคาเป้าหมายอีก 2 บาทเป็น 50 บาท ลูกค้าอุตสาหกรรมรถยนต์ฟื้น หนุนกำไรโต ส่วนกัลฟ์ฯเป้าใหม่ 36 บาท เข้าสู่วงจรกำไรสูงปีหน้าพุ่ง 83% กดราคา EGCO ลงพรวดเหลือ 282 บาท จาก 318 บาท คาดปันผลกลับมาดีขึ้น แนะเพียงถือ GPSC เจอคู่แข่งมาบตาพุด บล.ฟินันเซียฯให้เป้าพลังงานบริสุทธิ์ 55 บาท
บล.ทิสโก้แนะนำซื้อหุ้นไฟฟ้า 4 บริษัท โดยเฉพาะบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (BGRIM) ปรับเพิ่มน้ำหนักจาก ถือ และราคาเป้าหมายเพิ่มเป็น 50 บาท/หุ้น จากเดิมให้ไว้ 48 บาท เช่นเดียวกับ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) เพิ่มราคาเป้าหมายจาก 34 บาท เป็น 36 บาท
สำหรับ BGRIM มองเป็นหุ้นที่ดีที่สุดในกลุ่มเชื่อว่าบริษัทจะมีความผสมผสานที่ดีในเรื่อง defensive จากการได้รับส่วนแบ่งรายได้จากกฟผ. และการได้ประโยชน์มากจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมรถยนต์ ซึ่งคิดเป็นประมาณ 49% ของลูกค้าอุตสาหกรรม รวมกับต้นทุนก๊าซจะลดลงในไตรมาส 4 คาดในครึ่งปีหลังกำไรสุทธิเติบโต 23%เทียบกับในช่วง 6 เดือนแรก และเติบโต 31%ในปีหน้า
นอกจากนี้บริษัทยังมีสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง มีโอกาสที่ดีสำหรับการซื้อกิจการในอนาคต บริษัทยังมองหาโอกาสที่จะลงทุนทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ในมาเลเซีย, พลังงานลมในเกาหลี, พลังงานลมและ LNG ในเวียดนาม
ส่วน GULF บล.ทิสโก้มองการเข้าสู่วงจรการเติบโตของกำไรที่สูง คาดปีหน้าพุ่ง 83% โดยหน่วยผลิตแรกของโครงการ IPP 5GW จะเริ่มดำเนินการในไตรมาส 3/2564 และในปีหน้าบริษัทจะได้รับผลกำไรเต็มปีเป็นปีแรกจากการเข้าซื้อโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม Borkum 2 offshore ที่เยอรมัน คาดผลกำไรจากส่วนนี้อยู่ที่ 1.3 พันล้านบาท บริษัทจะเริ่มรับรู้ผลกำไรจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่เวียดนาม และโครงการที่โอมาน
บริษัทประสบความสำเร็จในการเพิ่มทุน ทำให้มีความพร้อมที่จะขยายธุรกิจโดยการซื้อกิจการทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่โรงไฟฟ้า แต่รวมถึงโครงการโครงสร้างพื้นฐานอีกด้วย ผู้บริหารยังคงมีมุ่งการลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังน้ำที่ลาว 3 โครงการ บริษัทจะยังคงทำโครงการ LNG-to-power ที่เวียดนาม
” เรามองว่าหุ้น GULF สมควรได้รับพรีเมี่ยมจากการคาดการณ์การเติบโตของกำไรสุทธิถึง 83% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของบริษัทคู่แข่งในไทย 23% และ regional peers ที่ 17% ปัจจุบันเทรดอยู่ที่ P/E ปีหน้าที่ 43 เท่า คาดว่าจะลดลงเหลือ 15 เท่าในปี 2568 จากการเข้ารับรู้เต็มปีของ IPP 5GW ”
บล.ทิสโก้ยังคงแนะนำซื้อหุ้นบริษัทผลิตไฟฟ้า ( EGCO) แม้ลดราคาเป้าหมายลงมาอยู่ที่ 282 บาท จาก 318 บาท หลังราคาทรุดลง 28%ในช่วง 3 เดือนเทียบกับตลาดที่รูดลง 8% เพราะตกใจกับการจ่ายเงินปันผลเพียง 0.25 บาท หรือประมาณ 3% ของเงินปันผลจ่ายในปีก่อน อย่างไรก็ตามคาดว่า บริษัทจะกลับมาจ่ายเงินปันผลที่น่าสนใจอีกครั้งจากราคาปัจจุบัน คาดอัตราผลตอบแทน อยู่ที่ 3.6% ซึ่งคิดเป็นการลดลงไป 7% ในปีนี้ ส่วนกำไรจะสามารถทรงตัวได้ตามคาด เพราะการปรับตัวดีขึ้นของโรงฟ้าพลังน้ำไซยะบุรีและการเข้าสู่ฤดูหนาวของเกาหลีใต้ คาดว่าจะมีอัตรากำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นของ Paju นอกจากนี้ โรงไฟฟ้าพลังงานลม Yunlin offstore wind farm ที่ไต้หวันคาดว่าจะช่วยเสริมกำไรในปีหน้า
บล.ทิสโก้ แนะนำ “ซื้อ” บริษัทราชกรุ๊ป (RATCH) ราคาเป้าหมาย 73 บาท คาดกำไรสุทธิโต 29% ครึ่งปีหลัง และ 35% ในปีหน้า เนื่องจากอัตรากำลังการผลิตที่สูงขึ้นของหงสาและโรงไฟฟ้าพลังงานลม Mt.Emerald รวมถึงการเริ่ม Collector โรงไฟฟ้าพลังงานลม คาดบริษัทจะให้ผลตอบแทนจากเงินปันผล 4.8% ในปีนี้ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของบริษัทที่ทำธุรกิจใกล้เคียงกันอยู่ที่ 2.4% ปัจจุบันหุ้นเทรดอยู่ที่ P/E ที่ 13 เท่าปีนี้ และ 10 เท่าในปีหน้า ซึ่งต่ำกว่า peers ที่เทรดอยู่ที่ P/E ที่ 31 เท่า และ 23 เท่า
สำหรับบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ ( GPSC) แนะนำ “ถือ” ลดราคาเป้าหมายจาก 67 บาทเหลือ 64 บาท เนื่องจากมีลูกค้าอุตสาหกรรมรถยนต์เพียง 2% และในระยะยาวบริษัทจะเจอการแข่งขันที่สูงขึ้นที่มาบตาพุดจากการเข้ามาของ BGRIM คาดว่าปีหน้ากำไรต่อหุ้นโต 15% มาจากต้นทุนค่าก๊าซที่ลดลง และการได้รับผลกำไรจากโครงการพลังน้ำไซยะบุรีที่ลาว จากการที่ภาวะแล้งบรรเทาในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
บล.ทิสโก้แนะนำเพียงถือหุ้นบริษัทบีซีพีจี (BCPG) ราคาเป้าหมาย 14.50 บาท รอการกลับมาของการเติบโตของกำไรต่อหุ้น หลังการสิ้นสุดของโรงฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทยในช่วงปี 2565-2567 คาดการเติบโตของ EBITDA ที่ 80% สำหรับโครงการ hydropower (114MW ที่คาดว่าจะเข้ามารับรู้ในปีนี้) และโครงการพลังงานลม (270MW ที่จะ COD ในไตรมาส4/64) ที่ลาว รวมถึงโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ญี่ปุ่น (75MW ที่จะ COD ในครึ่งปี 2564-2565) รวมโครงการใหม่ (มูลค่า 3.7 พันล้านบาท) คาดรายได้และส่วนแบ่งกำไรจะเติบโตจาก 4.6 พันล้านบาทในปีนี้ เป็น 5.4 พันล้านบาทในปีหน้า และ 7.4 พันล้านบาทในปี 2565,2566,2567
การเพิ่มทุนทำให้มีเงินเพิ่มขึ้น 1.03 หมื่นล้านบาท ช่วยให้งบดุลแข็งแกร่งเพิ่มโอกาสในการซื้อกิจการ คาด D/E ลดลงจากเดิม 1.8 เท่า เป็น 0.7 เท่าในปี2566 เพิ่มโอกาสในการขยายพอร์ตการลงทุน
ด้าน บล.ฟินันเซีย ไซรัส แนะนำซื้อ หุ้นบริษัทพลังงานบริสุทธิ์ ( EA ) ราคาเป้าหมาย 55 บาท กำไรจะเร่งตัวขึ้นในครึ่งปีหลัง เพราะโรงไฟฟ้าพลังงานลมเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น ชดเชยโรงไฟฟ้าโซลาร์ที่เข้าสู่โลว์ซีซั่นได้ ขณะเดียวธุรกิจบีโอดีเซลจะดีขึ้นและการเริ่มรับรู้รายได้จาก PCM ตั้งแต่ ส.ค.
ในส่วนธุรกิจที่เป็น New S-curve ยังเป็นไปตามแผนคือรถแท็กซี่ไฟฟ้าและเรือไฟฟ้าจะเริ่มส่งมอบปลายปีนี้ นอกจากนี้ แผนฟื้นฟู ขสมก. ที่เตรียมเข้าครม.ภายในเดือน ต.ค. เป็นสิ่งที่ตลาดลุ้นว่า EA-NEX มีศักยภาพในการประมูล BUS EV