วิจัยกสิกรชี้ ‘ช้อปดีมีคืน’ ช่วยกระตุ้นการบริโภคหนุนบรรยากาศทางศก.

HoonSmart.com>> ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินมาตรการ “ช้อปดีมีคืน” ช่วยกระตุ้นบริโภคในประเทศและบรรยากาศทางเศรษฐกิจดีขึ้น แม้ผลประโยชน์ต่อการจ้างงานและธุรกิจ SMEs เฉพาะจากมาตรการนี้อาจมีจำกัด มองเศรษฐกิจไทยขึ้นกับเศรษฐกิจโลก ความเสี่ยงโควิดระบาดซ้ำ การเมืองสหรัฐฯ สงครามการค้า

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองมาตรการ “ช็อปดีมีคืน” มีเป้าหมายที่ผู้มีรายได้ระดับปานกลางและรายได้สูง คาดว่าน่าจะช่วยกระตุ้นการบริโภคในช่วงไตรมาส 4/2563 ซึ่งหากมีผู้เสียภาษีเข้าร่วมโครงการ 1.85 ล้านคน จะส่งผลให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจราว 5.55 หมื่นล้านบาท แต่หากมีผู้เสียภาษีเข้าร่วมโครงการ 4.0 ล้านคน จะส่งผลให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจราว 1.2 แสนล้านบาท

หากรวมกับมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลออกมา ไม่ว่าจะเป็นมาตรการคนละครึ่่ง และมาตรการเติมเงินสวัสดิการเพิ่มอีกเดือนละ 500 บาทให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รวมถึงการทยอยเปิดรับนักท่องเที่ยว จะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4/2563 มีแนวโน้มดีขึ้นและหดตัวลดลงเมื่อเทียบกับ 2 ไตรมาสก่อนหน้า

ทั้งนี้ ศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบศ.) ได้พิจารณาเห็นชอบมาตรการ “ช้อปดีมีคืน” เพื่อกระตุ้นการบริโภค โดยสามารถลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสูงสุดไม่เกิน 30,000 บาท ทั้งนี้ มาตรการ “ช็อปดีมีคืน” มีลักษณะเดียวกันกับโครงการช้อปช่วยชาติที่เคยออกมาก่อนหน้านี้ในช่วงปลายปี 2558-2561 โดยมาตรการช้อปช่วยชาติในช่วงก่อนหน้านี้กำหนดวงเงินที่สามารถลดหย่อนภาษีสูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท ขณะที่มาตรการ “ช้อปดีมีคืน” กำหนดวงเงินที่สามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 30,000 บาท ซึ่งจะต้องเป็นการใช้จ่ายในช่วง 23 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2563 คิดเป็นระยะเวลา 70 วัน

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า มาตรการ “ช้อปดีมีคืน” น่าจะช่วยให้เกิดการระบายสินค้าคงคลังที่มีอยู่สูง อีกทั้งจะช่วยผลักดันยอดขายและเพิ่มสภาพคล่องของผู้ประกอบการต่างๆ ให้ดีขึ้น นอกจากนี้ การจับจ่ายใช้สอยที่เพิ่มขึ้นจะช่วยสร้างบรรยากาศทางเศรษฐกิจที่ดี ส่งผลให้ความเชื่อมั่นเศรษฐกิจฟื้นตัวดีขึ้น โดยในภาพรวมภาคค้าปลีกน่าจะได้รับผลประโยชน์จากมาตรการนี้มากที่สุด ในขณะที่ยอดใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นน่าจะส่งผลดีต่อภาคธนาคาร เนื่องจากยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตน่าจะขยายตัวมากขึ้น

นอกจากนี้ มาตรการดังกล่าวจะส่งผลให้ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตทั้งระบบในปี 2563 หดตัวลดลงที่ -11% YoY เมื่อเทียบกับหากไม่มีมาตรการที่ –12% YoY โดยมาตรการลดหย่อนภาษีนี้ไม่จำเป็นต้องใช้เม็ดเงินจากรัฐบาลโดยตรง ดังเช่นมาตรการแจกเงินผ่านโครงการเราไม่ทิ้งกันในช่วงไตรมาส 2/2563 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ไม่กระทบสถานะทางการคลังในปัจจุบันเท่าใดนัก ขณะที่ภาระทางภาษีจากมาตรการดังกล่าวจะเกิดขึ้นในปีหน้าหลังจากที่มีการยื่นภาษีไปแล้ว ทั้งนี้ ท่ามกลางระดับหนี้สาธารณะที่เข้าใกล้ 60% ต่อจีดีพีในปัจจุบัน รัฐบาลคงต้องพิจารณาออกมาตรการต่างๆ อย่างระมัดระวังเพื่อให้เกิดประสิทธิผลสูงสุดและกระทบต่อวินัยทางการคลังน้อยที่สุด

อย่างไรก็ดี มาตรการดังกล่าวคาดว่าจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายได้เพียงชั่วคราว และคงมีผลประโยชน์ต่อการจ้างงานค่อนข้างจำกัด เนื่องจากผู้ผลิตอาจจะยังไม่พิจารณากลับมาผลิตเพิ่ม หากอุปสงค์ยังไม่กลับมาฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ผู้ได้รับประโยชน์ส่วนใหญ่น่าจะเป็นผู้ประกอบการขนาดใหญ่ที่อยู่ในระบบภาษี ในขณะที่ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) อาจไม่ได้รับประโยชน์โดยตรงเท่าใดนัก

ขณะที่การฟื้นตัวของการบริโภคหลังจากที่มาตรการหมดลงไปแล้วคงกลับมาขึ้นอยู่กับแรงขับเคลื่อนพื้นฐานของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการท่องเที่ยว รายได้จากการจ้างงาน และรายได้ภาคการเกษตร เป็นสำคัญ ซึ่งท่ามกลางความเสี่ยงจากสถานการณ์การแพร่ระบาดและสถานการณ์เศรษฐกิจโลก คาดว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายในระยะข้างหน้า

อย่างไรก็ดี มาตรการดังกล่าวคาดว่าจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายได้เพียงชั่วคราว และคงมีผลประโยชน์ต่อการจ้างงานค่อนข้างจำกัด ขณะที่ผู้ได้รับประโยชน์ส่วนใหญ่น่าจะเป็นผู้ประกอบการขนาดใหญ่ที่อยู่ในระบบภาษี ในขณะที่ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) อาจไม่ได้รับประโยชน์โดยตรงเท่าใดนัก โดยจากเงื่อนไขเวลาที่กำหนดไว้ในช่วง 23 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2563 มาตรการดังกล่าวจึงน่าจะช่วยกระตุ้นการบริโภคได้เพียงในช่วงเวลาที่กำหนด ขณะที่ผู้บริโภคส่วนหนึ่งที่มีแผนซื้อสินค้าอยู่แล้ว แต่เป็นสินค้าที่ไม่รีบใช้ อาจชะลอการจับจ่ายออกไปก่อน เพื่อรอซื้อสินค้าในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งอาจส่งผลให้การบริโภคในช่วงก่อนมาตรการนั้นลดลง

นอกจากนี้ เนื่องจากมาตรการดังกล่าวน่าจะกระตุ้นการบริโภคได้เพียงชั่วคราว จึงทำให้ผู้ผลิตอาจจะยังไม่พิจารณากลับมาผลิตเพิ่ม หากอุปสงค์ยังไม่กลับมาฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลให้ผลประโยชน์ต่อการจ้างงานคงมีจำกัด แต่จะได้ประโยชน์ในเรื่องการระบายสินค้าคงคลังและสภาพคล่องเป็นหลัก นอกจากนี้ เนื่องจากผู้ประกอบการกลางและขนาดเล็ก (SMEs) เช่น ร้านอาหารข้างทาง หรือร้านขายของชำขนาดเล็ก จำนวนมากไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ดังนั้น ผู้ประกอบการขนาดใหญ่ที่อยู่ในระบบภาษีน่าจะได้รับผลประโยชน์เป็นหลัก (แต่ร้านค้ารายย่อยเหล่านี้อาจได้ประโยชน์จากมาตรการ “คนละครึ่ง” ที่รัฐบาลให้วงเงินสมทบไม่เกิน 3,000 บาทต่อคน) ขณะที่การฟื้นตัวของการบริโภคหลังจากที่มาตรการหมดลงไปแล้วคงกลับมาขึ้นอยู่กับแรงขับเคลื่อนพื้นฐานของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการท่องเที่ยว รายได้จากการจ้างงาน และรายได้ภาคการเกษตร เป็นสำคัญ

“มาตรการ “ช้อปดีมีคืน” ที่ออกมาล่าสุดสะท้อนความตั้งใจดีของรัฐบาล ซึ่งคาดว่ามาตรการดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นการบริโภคในประเทศได้ในระดับหนึ่งและช่วยสร้างบรรยากาศทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น แม้ว่าผลประโยชน์ต่อการจ้างงานและธุรกิจ SMEs เฉพาะจากมาตรการนี้อาจมีจำกัด อย่างไรก็ดี แนวโน้มเศรษฐกิจไทยจะยังคงขึ้นอยู่กับสถานการณ์การแพร่ระบาดและสถานการณ์เศรษฐกิจโลกเป็นหลัก ซึ่งท่ามกลางความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดซ้ำ ประเด็นการเมืองในสหรัฐฯ ประเด็นเบร็กซิท และความตึงเครียดระหว่างจีนกับสหรัฐฯ คาดว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายในระยะข้างหน้า”ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุ