กลุ่มอเบอร์ดีน ยังชอบหุ้นไทย เผยไล่เก็บหุ้นดีราคาถูก

“อดิเทพ” เผย กลุ่มอเบอร์ดีน ยัง overweight หุ้นไทยมากกว่าดัชนี 2% มั่นใจเศรษฐกิจ-กำไร บจ. เติบโตต่อเนื่อง ฉวยจังหวะไล่เก็บหุ้นดีราคาถูก

ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังคงมีสถานะขายสุทธิ (Net Sell) ในตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะในเดือน มิ.ย. 2561 ขายสุทธิแล้ว 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และในครึ่งปีแรกขายสุทธิ 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่กลุ่มอเบอร์ดีนยังคงเดินหน้าซื้อหุ้นไทยต่อเนื่อง

นายอดิเทพ วรรณพฤกษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อเบอร์ดีน เปิดเผยว่า ในปัจจุบันกลุ่มอเบอร์ดีน ซึ่งบริหารสินทรัพย์ทั่วโลกมูลค่า 7.78 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ยังคงให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากกว่าน้ำหนักในดัชนี MSCI Asia (ex Japan) ประมาณ 2% ขณะที่ ตลาดหุ้นไทยมากกว่าน้ำหนักในดัชนี MSCI Asia (ex Japan) เพียง 1% เท่านั้น

อดิเทพ วรรณพฤกษ์

“เพราะพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังค่อนข้างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ ขณะที่ผลกระทบจากสงครามการค้าประเมินได้ค่อนข้างยาก เพราะแม้ว่าสหรัฐฯ จะเพ่งเล็งไปที่ประเทศจีน แต่ไม่รู้ว่าท้ายที่สุดแล้วประเทศไทยจะได้รับผลกระทบในตรง หรือ ทางอ้อมมากแค่ไหน มีความไม่แน่นอน ซึ่งตลาดหุ้นไม่ชอบ จึงทำให้เกิดความผันผวน” นายอดิเทพ กล่าว

นายอดิเทพ กล่าวอีกว่า ในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงถือเป็นจังหวะดีที่ บลจ.อเบอร์ดีน ซึ่งมีนโยบายลงทุนระยะยาว จะเข้าซื้อหุ้นไทยเพิ่ม

“ส่วนใหญ่ที่เข้าไปซื้อจะเป็นหุ้นเดิมที่มีอยู่ในพอร์ตอยู่แล้ว แต่ก็มีหุ้นใหม่บ้าง โดยเฉพาะบริษัทที่เราสนใจ แต่ก่อนหน้านี้ราคาสูงเกินไป ดังนั้นพอราคาลดลงมาก็เป็นจังหวะเข้าลงทุน”

นอกจากนี้ นายอดิเทพ เปิดเผยว่า “ในวันที่หุ้นตกแรกๆ จะมีเงินเข้ามาซื้อกองทุนค่อนข้างมาก โดยเฉพาะกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และพอมีกระแสเงินสดเข้ามาเราก็นำไปซื้อหุ้น เพราะนโยบายการถือครองเงินสดจะอยู่ที่เฉลี่ยประมาณ 5% ของพอร์ต และในปัจจุบันอยู่ประมาณ 3-5%”

สำหรับตลาดหุ้นไทยช่วงครึ่งหลังของปี 2561 นายอดิเทพ กล่าวว่า หากมองในมุมมองของนักลงทุนต่างชาติเชื่อว่า ยังมีแรงกดดันจากเม็ดเงินลงทุนไหลออก เพราะในตลาดโลกยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูง โดยเฉพาะจากปัจจัยที่นักลงทุนไม่ได้คาดไว้ คือ ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้น และสงครามการค้าที่อาจจะมีความรุนแรงมากขึ้น แต่เชื่อว่าเม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนในประเทศ ทั้งนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันจะช่วยพยุงตลาดไว้ได้

“สำหรับกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหุ้นไทย เชื่อว่าจะสามารถเติบโตได้ตามที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดกันไว้ คือ 8-9% ในปีนี้ นอกจากนี้ หลายบริษัทยังขยายธุรกิจออกไปต่างประเทศ เช่น ทั้งกลุ่มประเทศ CLMV อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ทำให้มีโอกาสเติบโตจากธุรกิจต่างประเทศมากขึ้น” นายอดิเทพ กล่าว