FETCO เผยดัชนีเชื่อมั่นนลท. 3 เดือนข้างหน้าลด ชูหุ้นกลุ่มอาหารเด่น-เลี่ยงแบงก์

HoonSmart.com>> FETCO เผยดัชนีเชื่อมั่นนักลงทุน 3 เดือนข้างหน้าปรับลดลง 21% อยู่ในเกณฑ์ซบเซา ด้าน “ต่างชาติ” มองซบเซาหนักกลุ่มอาหารยังน่าสนใจ เลี่ยงกลุ่มแบงก์ การเติบโตเศรษฐกิจในประเทศยังหนุนตลาด ส่วนการเมืองเป็นปัจจัยกดดัน คาดหวังมาตรการภาครัฐเริ่มเดินหน้า หลังท่องเที่ยว-ส่งออกแย่ ด้านอัตราดอกเบี้ย คาดประชุมกนง.ครั้งหน้ายังไม่หั่นดอกเบี้ย รอมาตราการอื่นๆเริ่มเดินเครื่อง

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยว่า ดัชชีเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 ข้างหน้า (พ.ย.2563) ลดลง 21% มาอยู่ที่ระบบ 67.52 มาอยู่ในเกณฑ์ “ซบเซา” จากความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติปรับตัวลดลงมาอยู่ในระดับที่ซบเซามาก แต่ความเชื่อมั่นนักลงทุนกลุ่มที่เหลืออยู่ในเกณฑ์ทรงตัว

หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดอาหารและเครื่องดื่ม (FOOD) ส่วนหมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือหมวดธนาคาร (BANK) ส่วนปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุดคือ การเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ ขณะที่ปัจจัยการเมืองในประเทศเป็นปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด

ขณะที่การเปิดประเทศยังไม่สามารถเริ่มได้ มองว่าความเสี่ยงเศรษฐกิจเริ่มสูงขึ้น ประเทศไทยยังต้องคาดหวังการกลับมาของทั้งท่องเที่ยวและการส่งออก ซึ่งการส่งออกก็ยังไม่ดีขึ้น โดย ณ สิ้นเดือน ส.ค ค่าเงินบาทอยู่ที่ 32.19 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ คาดหวังการเพิ่มเม็ดเงินลทุนเข้ากระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อให้ค่าเงินอ่อนลงบ้าง คาดว่าส่วผลให้ภาพรวมการส่งออกของไทยจะปรับดีขึ้น และเมื่อสามาถเปิดประเทศได้ นักลงท่องจะกลับมาบ้าง

“เรายังหวังเม็ดเงินกระตุ้น 4 แสนล้านบาท ซึ่งผ่านการอนุมัติ ครม. ประมาณ 4 หมื่นล้านบาท มองว่าตอนนี้ภาครัฐ คือกำลังสนับสนุนเดียวกที่มีเงินมากที่สุด ส่วนงบประมาณที่เจรจากันอยู่ในสภาก็ยังไม่ผ่าน ล่าช้ากว่าแผนมาก นักลงทุนเริ่มกังวลว่าสามารถการดำเนินการได้ทันเวลารึเปล่า” นายไพบูลย์ กล่าว

ด้านน.ส.อริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตราสารหนี้ไทย เปิดเผยว่า ปัจจัยเศรษฐกิจภายในประเทศเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่ออัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งคาดในการประชุม กนง. ในครั้งหน้าจะยังไม่มีการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เนื่องจากรอมาตราการอื่นๆเข้ามาขับเคลื่อน มากกว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลคาดว่ายังไม่ปรับเพิ่ม อยู่ในระดับทรงตัว