NER จ่อขายหุ้น PP จีน-ญี่ปุ่น ปี64 นิวไฮ กำไรทะลุ1,000 ล้านบาท

HoonSmart.com>>“นอร์ทอีส รับเบอร์” จ่อสรุปขายหุ้นเพิ่มทุนเฉพาะเจาะจงให้พันธมิตรต่างประเทศ คาดชัดเจนไตรมาส 4  เผยเป็นช่วงที่ยอดขายโตที่สุด จากกำลังการผลิตโรงงานใหม่ พร้อมอัดงบลงทุน 60 ล้านบาท เพิ่มเครื่องจักร คาดแล้วเสร็จในไตรมาส 2 ปี 64 หวังกำลังการผลิตรวม 2 โรง ได้ 5 แสนตันต่อปี หนุนรายได้-กำไรนิวไฮในปี 64  

นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ (NER) เปิดเผยว่า การเสนอขายหุ้นเฉพาะเจาะจง (PP) ที่ขออนุมัติจากผู้ถือหุ้นแล้ว 154 ล้านหุ้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรทั้งประเทศจีนและญี่ปุ่น เพื่อเข้ามาเสริมความแข็งแกร่ง คาดว่าจะมีความชัดเจนในไตรมาส 4/2563 โดยจะนำเงินไปใช้เป็นเงินหมุนเวียนภายในบริษัท  ปัจจุบันบริษัทมี Daiwa Fund Consulting Co.Ltd. ถือหุ้นอยู่จำนวน 9.42%

ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงาน คาดว่าในไตรมาส 4/63 จะสามารถสร้างยอดขายได้สูงที่สุด เนื่องจากมีกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นของโรงงานใหม่ ที่มีกำลังการผลิตรวม 172,800 ตันต่อปี โดยมีสินค้าขายล่วงหน้าไปแล้ว และราคายางที่อยู่ในระดับสูงด้วย ซึ่งราคายางเริ่มมีเสถียรภาพที่ดีขึ้น จากภาครัฐบาลสนับสนุนโรงงานอุตสาหกรรม ผู้ส่งออก และชาวเกษตร คาดว่าราคายางจะไม่ต่ำกว่า 50 บาทต่อกิโลกรัม ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 55 บาทต่อกิโลกรัม

นอกจากนี้บริษัทเตรียมเงินลงทุนประมาณ 60 ล้านบาท เพิ่มเครื่องจักรในโรงงานใหม่ เพื่อขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นประมาณ 30% คาดว่าจะติดตั้งแล้วเสร็จไตรมาส 2/2564 ทำให้ปีหน้าจะมีกำลังการผลิตรวม 2 โรงงานประมาณ 500,000 ตันต่อปี จากปีนี้กำลังการผลิตรวมประมาณ 465,600 ตันต่อปี

“คาดผลประกอบการในปี 2564 จะทำจุดสูงสุดใหม่ รายได้จะอยู่ที่ประมาณ 20,000 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิจะมากกว่า 1,000 ล้านบาท มาจากการขยายกำลังการผลิตของโรงงานใหม่”นายชูวิทย์กล่าว

ส่วนการผลิตแผ่นปูนอนสัตว์ บริษัทตั้งงบลงทุน 220 ล้านบาท ใช้ในการก่อสร้างโรงงานผลิตและซื้อเครื่องจักร แต่เนื่องด้วยสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ไม่สามารถเดินทางไปดูเครื่องจักรที่ประเทศไต้หวันได้ หากได้เครื่องจักรแล้ว คาดใช้เวลาก่อสร้างโรงงานผลิตและติดตั้งเครื่องจักร ประมาณ 1 ปี เพื่อผลิตแผ่นปูนอนจำนวน 1.5 ล้านแผ่นต่อปี และขายราคาแผ่นประมาณ 1,700 บาท บริษัทต้องการขยายตลาดไปยังประเทศออสเตรเลีย เนื่องจากมีวัวโคนมที่มากประมาณ 300 ล้านตัว ส่วนในประเทศมีประมาณ 7.5 แสนตัว ซึ่งต่างประเทศมีความต้องการที่มากกว่า ราคาขายที่ดีกว่าในประเทศ รวมถึงได้สิทธิทางภาษี ในเรื่องของการค้าระหว่างประเทศไทยกับประเทศออสเตรเลียด้วย