ทริสฯคงเครดิต ECL มองลบ ห่วงกำไรถดถอย หนี้สูง สินเชื่อหด

HoonSmart.com>>ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร ตะวันออกพาณิชย์ลีสซิ่ง ที่ “BBB-” เปลี่ยนแนวโน้ม เป็น “ลบ” จาก “คงที่” เจอแรงกดดันความสามารถทำกำไร 1-2 ปีข้างหน้า คาดสินเชื่อปีนี้หดตัว 55% เหลือ 1.5 พันล้านบาท ปี 64-65 โตช้าลง 10% ต่อปี คุณภาพสินทรัพย์อ่อนแอ ภาระหนี้สูงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จุดแข็งฐานทุนที่แข็งแรง มีสภาพคล่อง-แหล่งเงินทุนที่เพียงพอ รักษาดอกเบี้ยรับ 5.7-5.9% ปี 63-65

บริษัททริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของบริษัท ตะวันออกพาณิชย์ลีสซิ่ง (ECL) ที่ระดับ “BBB-” และเปลี่ยนแนวโน้มเป็น “ลบ” จากเดิม “คงที่”

อันดับเครดิตสะท้อนถึงการที่บริษัทมีฐานทุนที่แข็งแรง มีสภาพคล่องทางการเงินและแหล่งเงินทุนที่เพียงพอ รวมทั้งมีความสามารถในการรักษาอัตราดอกเบี้ยรับภายใต้การแข่งขันที่รุนแรงเอาไว้ได้ คาดจะคงอยู่ในระดับ 5.7-5.9% ในระหว่างปี 2563-2565

ส่วนแนวโน้มอันดับเครดิต “ลบ” สะท้อนถึงคุณภาพสินทรัพย์ที่ยังคงอ่อนแออย่างต่อเนื่องและภาระหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา รวมถึงสถานะทางการตลาดและความสามารถในการทำกำไรที่มีแนวโน้มถดถอยลงในระยะปานกลางภายใต้สภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและการแข่งขันที่รุนแรงอีกด้วย

ทริสฯคาดว่าแรงกดดันต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจะยังคงมีอยู่ต่อไปในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า สาเหตุหลักมาจากค่าใช้จ่ายหนี้สูญที่สูงขึ้นและผลขาดทุนที่เพิ่มขึ้นจากการจำหน่ายรถยึด รวมถึงรายได้ดอกเบี้ยรับที่ลดลงจากนโยบายที่บริษัทจะลดขนาดของพอร์ตสินเชื่อลง โดยทริสประมาณการว่าอัตราส่วนกำไรก่อนภาษีเงินได้ต่อสินทรัพย์เสี่ยงเฉลี่ยจะอยู่ที่ระดับประมาณ 2% ในปี 2563-2565 เมื่อเทียบกับระดับในอดีตที่ 3-4%

บริษัทมีผลประกอบการอ่อนแอลงพอสมควรมาตั้งแต่ปี 2562 โดยมีกำไรสุทธิ 130 ล้านบาท ลดลง 8.5% จากปีก่อน สำหรับช่วงครึ่งแรกของปี 2563 นั้น บริษัทมีกำไรสุทธิ 0.75 ล้านบาท ลดลง 99% สาเหตุหลักที่มาจากค่าใช้จ่ายหนี้สูญเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากภายใต้มาตรฐานบัญชีใหม่ (TFRS9) และผลขาดทุนจากการจำหน่ายรถยึดที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม รายได้รวมเพิ่มขึ้น 5% จากการมีรายได้ดอกเบี้ยที่แข็งแรงและรายได้หนี้สูญรับคืน

ส่วนคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทยังคงน่ากังวล ณ สิ้นปี 2562 อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (สินเชื่อค้างชำระเกิน 90 วัน) เพิ่มขึ้นเป็น 4.3% จาก 3.5% ณ สิ้นปี 2561และยังคงเพิ่มขึ้นเป็น 7.4% ณ สิ้นเดือนมิ.ย. 2563 จากผลกระทบทางเศรษฐกิจเนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ผู้บริหารมีความพยายามปรับปรุงกระบวนการในการติดตามหนี้และเกณฑ์การปล่อยกู้ให้เข้มงวดยิ่งขึ้นตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป ทริสฯคาดว่าอัตราส่วนดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะค่อย ๆ ดีขึ้นตั้งแต่ปลายปีนี้เป็นต้นไป และคาดว่าค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญจะอยู่ในช่วง 2.7% ของสินเชื่อโดยเฉลี่ยในระหว่างปี 2563-2565 บริษัทตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญที่แข็งแกร่งขึ้น

สำหรับยอดสินเชื่อคงค้างของบริษัทเติบโตดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยอยู่ที่ 7 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 2562 จาก 2.5 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 2559  เติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ 42% โดยเป็นผลสำเร็จจากความสามารถในการทำการตลาด แต่ในช่วงปี 2563 จนถึง 2-3 ปีข้างหน้านี้ ทริสคาดว่าการที่คณะผู้บริหารของบริษัทมีกลยุทธ์การเติบโตของสินเชื่อที่ระมัดระวัง อาจทำให้สินเชื่อคงค้างหดตัวลงเล็กน้อย ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนมิ.ย. 2563 ยอดสินเชื่อคงค้างชะลอตัวโดยลดลง 5% จากสิ้นปี 2562 อยู่ที่ 6.9 พันล้านบาท

ทริสเรทติ้งคาดว่ายอดสินเชื่อใหม่ในปี 2563 จะหดตัวลง 55% เป็น 1.5 พันล้านบาทจาก 3.4 พันล้านบาทในปี 2562 และยอดสินเชื่อใหม่จะเติบโตช้าลงโดยอยู่ในอัตราประมาณ 10% ต่อปีช่วงปี 2564-2565 โดยมีสินเชื่อรถยนต์และสินเชื่อรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่หรือบิ๊กไบค์ (Big Bike) ที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญเป็นปัจจัยขับเคลื่อน

ขณะที่ฐานทุนของบริษัทจะยังอยู่ในระดับที่แข็งแรงและเหมาะสมกับอันดับเครดิตปัจจุบัน ประมาณการว่าจะมีอัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงอยู่ที่ระดับ 32% ในระหว่างปี 2563-2565 แต่ภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเพื่อใช้ในการขยายสินเชื่อในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมาก็ส่งผลลบต่ออันดับเครดิตด้วยบางส่วน โดยบริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนเพิ่มขึ้นเป็น 3.1 เท่า ณ สิ้นเดือนมิ.ย. 2563 เมื่อเทียบกับระดับต่ำกว่า 2 เท่าในช่วงก่อนปี 2561 เชื่อว่าบริษัทน่าจะมีสถานะเงินทุนและสภาพคล่องอยู่ในเกณฑ์ที่เพียงพอในระยะ 12 เดือนข้างหน้า จากการได้รับจากการชำระคืนสินเชื่อของลูกหนี้ประมาณ 3.1 พันล้านบาทในขณะที่ภาระการชำระคืนหนี้ของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 2.4 พันล้านบาท

นอกจากนี้บริษัทยังมีวงเงินสินเชื่อรวมทั้งสิ้นประมาณ 8.6 พันล้านบาทกับสถาบันการเงินขนาดใหญ่หลายแห่งแล้ว บริษัทยังสามารถออกตั๋วแลกเงินเพื่อบริหารสภาพคล่องได้เป็นระยะอีกด้วย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากวงเงินกู้ยืมจากธนาคารส่วนใหญ่มีการค้ำประกันโดยการโอนสิทธิลูกหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อ บริษัทจึงอาจมีข้อจำกัดในการขอวงเงินสินเชื่อเพิ่มเติมได้