TISCO กำไร 1,643 ลบ.ร่วง 5.2% รายได้ดอกเบี้ยลด สำรองเพิ่ม Q1/68  

HoonSmart.com>>”ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป” (TISCO)โชว์ผลงานตามคาด ไตรมาส 1/68 กำไรสุทธิ 1,643 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 5.2% ลดลงต่อเนื่อง 3.4% จากไตรมาสก่อน ธุรกิจหลักดอกเบี้ยสุทธิร่วงตามยอดขายรถยนต์ เศรษฐกิจตกต่ำ ช่วยลูกค้าโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ดอกเบี้ยนโยบายลดลง  ได้แรงหนุนธุรกิจกองทุนเพิ่มขึ้น 10.3% ธุรกิจหลักทรัพย์โต 3.3% ตั้งการ์ดสูงสำรองเพิ่มเป็น 385.73 ล้านบาท บล.กรุงศรีให้เป้า 94 บาท จุดเด่นปันผลสูง หุ้นแบงก์สดใสจากแรงซื้อหลัง XD 

บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป (TISCO) เปิดเผยผลการดำเนินงานงวดไตรมาสที่ 1/2568 มีกำไรสุทธิ 1,643.38 ล้านบาท กำไรหุ้นละ 2.05 บาท กำไรลดลงจำนวน 89.64 ล้านบาท คิดเป็น 5.17% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,733.02 ล้านบาท กำไรหุ้นละ 2.16 บาท และลดลงจำนวน 58.43 ล้านบาท หรือ 3.4 % เทียบกับไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมา ส่วนอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเฉลี่ย (ROAE) อยู่ที่ 15.0%

นายศักดิ์ชัย พีชะพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มทิสโก้ กล่าวว่า สาเหตุที่ทำให้กำไรลดลง มาจากเศรษฐกิจเติบโตในระดับต่ำ ด้านยอดขายรถยนต์ในประเทศในช่วง 2 เดือนแรก ยังคงอ่อนแอลดลง 9.5% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนหนึ่งมาจากการชะลอการปล่อย
สินเชื่อของสถาบันการเงินในภาวะที่หนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง ภาครัฐยังคงดำเนินมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้อย่างต่อเนื่อง โดยโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ขยายระยะเวลาให้การช่วยเหลือจนถึงวันที่ 30 เม.ย.2568

ขณะเดียวกันธนาคารแห่งประเทศไทยปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Repo-1 วัน) จำนวน 1 ครั้ง ในอัตรา 0.25% มาอยู่ที่ 2.00% อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก 3 เดือนเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 4 แห่ง คงที่ที่1.00% ส่วนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลดลง ภาวะตลาดทุนผันผวนรุนแรง ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปิดที่1,158.09 จุด ลดลง 242.12 จุด หรือ 17.3% จากสิ้นปี 2567 ส่วนมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ 42,224.44 ล้านบาท ลดลงจาก 45,787.58 ล้านบาทในไตรมาสก่อน

“TISCO มีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ลดลง 2.0% ผลจากการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในเดือนก.พ. 2568 และการลดภาระดอกเบี้ยให้แก่ลูกหนี้กลุ่มเปราะบางในโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ประกอบกับสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่  0.7% ของยอดสินเชื่อ
เฉลี่ยเพื่อรองรับการเติบโตของสินเชื่อที่มีผลตอบแทนสูง ในขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 3.4% จากการเติบโตจากธุรกิจหลักทรัพย์จัดการกองทุนที่ 10.3% ค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 3.3% จากการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดของ บล.ทิสโก้ และกำไรจากเงินลงทุนที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุน (FVTPL) ที่เพิ่มขึ้น”

อย่างไรก็ตาม ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ได้รับผลกระทบจากตลาดรถยนต์ในประเทศที่ยังคงอ่อนแอ ส่งผลให้รายได้ค่าธรรมเนียมนายหน้าประกันภัยยังไม่ฟื้นตัว ด้านค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลง 0.9% จากการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับกำไรไตรมาสแรกปีนี้ลดลงเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2567 เป็นผลมาจากรายได้รวมที่อ่อนตัวลง  2.5% และค่าใช้จ่ายสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นที่เพิ่มขึ้นจาก  0.6% มาเป็น 0.7% ของสินเชื่อเฉลี่ย  โดยรายได้ดอกบี้ยสุทธิลดลง  2.1%  ตามการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และการลดภาระดอกเบี้ยให้แก่ลูกหนี้ในโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ส่วนรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยชะลอตัวลง 3.3% จาก
ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากธุรกิจนายหน้าประกันภัยอ่อนตัวลงตามฤดูกาลและผลจากยอดขายรถยนต์ที่ยังคงอ่อนแอ อีกทั้งบริษัทมีการรับรู้ค่าธรรมเนียมตามผลประกอบการของธุรกิจจัดการกองทุน (Performance Fee) ไปในไตรมาสก่อนหน้า

อย่างไรก็ดี ธุรกิจที่เกี่ยวกับตลาดทุนปรับตัวดีขึ้น ทั้งธรุกิจหลักทรัพย์จัดการกองทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และกำไรจากพอร์ตเงินลงทุน
กำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐาน (Basic earnings per share)  ค่าใช้จ่ายผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) มีจำนวน 385.73 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1 ของปีก่อนหน้าและจากไตรมาสก่อนหน้า โดยค่าใช้จ่ายสำรองคิดเป็น  0.7% ของยอดสินเชื่อเฉลี่ย

ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทดำเนินนโยบายการขยายสินเชื่ออย่างระมัดระวังและรอบคอบ พร้อมด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพในการติดตามทวงถามหนี้ ส่งผลให้คุณภาพสินทรัพย์อยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิต (NPLs) อยู่ในระดับที่คาดการณ์ไว้ที่ 2.42% ทั้งนี้การตั้งสำรองในระดับนี้เพียงพอรองรับต่อความสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตตามนโยบายการบริหารความเสี่ยงที่รัดกุม และยังคงรักษาอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Coverage Ratio) ที่153.8%

“ยอดขายรถยนต์ใหม่ในไตรมาสแรกลดลงเกือบ 10% ส่งผลให้การปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถใหม่เป็นไปอย่างยากลำบาก  ณ  31 มี.ค. ปล่อยสินเชื่อ 231,190 ล้านบาท ลดลง 0.4% จากสิ้นปี 2567 แม้ว่าทิสโก้จะสามารถเพิ่ม Penetration Rate ได้ จากการเป็นพาร์ทเนอร์กับแบรนด์ใหม่ ๆ มากขึ้น รวมถึงค่าธรรมเนียมธุรกิจประกันภัยที่ชะลอตัวต่อเนื่อง นอกจากนี้ได้เพิ่มระดับการตั้งสำรองหนี้เผื่อสงสัยจะสูญมาอยู่ที่ 0.7% ของสินเชื่อเฉลี่ย เพื่อรองรับการขยายตัวของสินเชื่อที่ให้ผลตอบแทนสูง (High Yield Loans) และความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ”นายศักดิ์ชัยกล่าว

ล่าสุด บริษัท ทริสเรทติ้ง ได้ปรับเพิ่มอันดับเครดิตองค์กร TISCO เป็นระดับ “A” จากเดิมที่ “A-” พร้อมแนวโน้มอันดับเครดิตที่ระดับ “คงที่” รวมถึงปรับเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของ ธนาคารทิสโก้ เป็นระดับ “A+” จากเดิม “A” ด้วยแนวโน้ม “คงที่” เช่นกัน สะท้อนถึงพื้นฐานทางการเงินที่แข็งแกร่งของกลุ่มทิสโก้ จากความสามารถในการทำกำไรที่มั่นคง ความยืดหยุ่นในการให้บริการสินเชื่อรายย่อย ความสามารถในการตอบสนองความต้องการของตลาด การดำเนินกลยุทธ์อย่างระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน และสถานะเงินกองทุนที่แข็งแกร่งรองรับต่อความเสี่ยงรอบด้าน

ทางด้านบล.กรุงศรีมองกำไรของ TISCO เป็นไปตามคาด คงคำแนะนำ NEUTRAL และคงมูลค่าเหมาะสมปีนี้ที่ 94 บาท มอง TISCO เป็นหุ้นปันผล โดยมีปันผลเด่นสูงสุดติดอันดับ 1 ใน 2 ของกลุ่มธนาคารคาดที่ 8%ทั้งนี้ เงินปันผลครึ่งหลังปีก่อนที่ 5.75 บาท/หุ้น อัตราผลตอบแทน 6% ขึ้น XD วันที่ 25 เม.ย.2568 นี้

ส่วนแนวโน้มกำไรสุทธิไตรมาส 2 คาดลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน และทรงตัวจากไตรมาสแรก กดดันหลักจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายสำรอง จากการปรับเพิ่มไปสู่ระดับปกติ และคุณภาพสินทรัพย์อ่อนแอ จากความไม่แน่นอนในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

ราคาหุ้น TISCO ปรับตัวขึ้นในช่วงบ่าย และปิดที่ระดับสูงสุดแตะ 100 บาท บวก 1.25 บาทหรือ +1.27%  ขานรับกำไรไตรมาสแรกเป็นไปตามคาดการณ์ และซื้อเพื่อรอรับเงินปันผลครึ่งปีหลังที่ 5.75 บาท

ขณะเดียวกันหุ้นกลุ่มธนาคารส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้น นำโดย BBL  ปิดที่ 147 บาท เพิ่มขึ้น 5.50 บาทหรือ +3.89%คาดกำไรไตรมาสแรกออกมาสดใส ทะลุ 10,000 ล้านบาท รวมถึง SCB  ปิดที่ 116 บาท บวก 2.50 บาทหรือ +2.20% KTB ปิดที่ 21.90 บาท บวก 0.50 บาทหรือ +2.34% เด้งกลับจากเมื่อวานนี้ปรับตัวลงจากการขึ้นเครื่องหมาย XD  ส่วน KBANK ขึ้น XD วันนี้ ปิดที่ 152 บาท ลดลง 2.50  บาทหรือ
-1.62%