บลจ.บัวหลวงชอบ “หุ้นค้าปลีก-รพ.-โรงไฟฟ้า” คาดผลตอบแทน SET 1 ปี 6-7% แนะเพิ่มหุ้นนอก

HoonSmart.com>> บลจ.บัวหลวง มองตลาดหุ้นครึ่งปีหลังได้ปัจจัยหนุนดอกเบี้ยต่ำ สภาพคล่องหนุน หวังวัคซีนโควิด-19 เศรษฐกิจฟื้น ให้น้ำหนักหุ้นไทย “กลุ่มค้าปลีก-โรงพยาบาล-โรงไฟฟ้า” พร้อมประเมินผลตอบแทนหุ้นไทย 12 เดือนข้างหน้ารวมปันผล ประมาณ 6-7% คาดเศรษฐกิจเติบโต 3-4% จึงแนะกระจายลงทุนหุ้นต่างประเทศ มอง “หุ้นเทคโนโลยี ” สหรัฐฯ-จีน เติบโต ด้าน “สันติ ธนะนิรันดร์” CIO คนใหม่ ลั่นยึดมั่นปรัชญาการลงทุนองค์กร เน้นแสวงหาผลตอบแทนระยะยาวสม่ำเสมอ ด้วยการลงทุนอย่างรอบคอบ ไม่เสี่ยงมาก

สันติ ธนะนิรันดร์

นายสันติ ธนะนิรันดร์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน (CIO) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด (กองทุนบัวหลวง) เปิดเผยว่า แนวโน้มการการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังมองตลาดหุ้นยังน่าสนใจจากปัจจัยสนับสนุน คือ ความคาดหวังที่มีต่อความคืบหน้าในการผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 ซึ่งตลาดคาดการณ์ว่า ตั้งแต่กลางปี 2564 เป็นต้นไป โลกจะเริ่มมีวัคซีนป้องกันโควิด-19 ใช้ทั่วไป ขณะที่ธนาคารกลางทั่วโลกใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำพร้อมอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ รวมทั้งรัฐบาลต่างๆ มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาขนานใหญ่ เพื่อให้ความมั่นใจในการฟื้นฟูและเยียวยาระบบเศรษฐกิจ ส่งผลให้ผู้ลงทุนกลับเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ซึ่งเป็นอีกแรงสนับสนุนทำให้ตลาดการลงทุนมีแนวโน้มดีขึ้น

สำหรับตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นเกือบทุกกลุ่มอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ไม่ได้มีกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีที่ได้ประโยชน์จากช่วงโควิด-19 เหมือนต่างประเทศ โดยส่วนใหญ่ธุรกิจในตลาดหุ้นไทยผูกติดวัฎจักรเศรษฐกิจโดยตรง เช่น แบงก์ น้ำมัน ซึ่งได้รับผลกระทบ อย่างไรก็ตาม ตลาดรับรู้ผลกระทบจากโควิด-19 ที่มีต่อผลการดำเนินงานไปแล้ว 6 เดือน – 1 ปีข้างหน้า จึงมองระยะสั้น-ระยะกลางตลาดหุ้นไทยยังดีหากเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัว หลายบริษัทจะให้ผลตอบแทนที่ดี กำไรเติบโต ซึ่งโดยปกติตลาดหุ้นจะวิ่งนำก่อนเศรษฐกิจ จึงมองตลาดยังไปได้ โดยตลาดมองกำไรบริษัทจดทะเบียนปีหน้าค่อยๆ ฟื้น แต่ยังต่ำกว่าปี 2562 และน่าจะดีขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ ส่วนตลาดหุ้นระยะยาวอยู่ที่โครงสร้างเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขัน

นายสันติ กล่าวว่า การลงทุนต้องมองไปข้างหน้าระยะยาว ซึ่งกองทุนบัวหลวงมองว่า ยังมีกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการขยายตัวของสังคมเมืองที่มีความน่าสนใจลงทุน ได้แก่ กลุ่มค้าปลีก โรงพยาบาล และพลังงานไฟฟ้า โดยกลุ่มเหล่านี้มีความจำเป็นในชีวิตประจำวัน และมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีอยู่ ขณะที่ตราสารหนี้ไทยให้ผลตอบแทนค่อนข้างต่ำ ส่วนแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของไทยคาดทรงตัวระดับ 0.50% ส่วนค่าเงินบาทมองกรอบ 31-32.50 บาท

“ตลาดหุ้นทั่วโลกและหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมาเร็วจากการระบาดโควิด-19 ช่วงเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งหุ้นไทยลงไปแถว 1,000 จุดจนถึงปัจจุบันดัชนีขึ้นมาเคลื่อนไหวใกล้ 1,400 จุด เพิ่มขึ้นเกือบ 40% เช่นเดียวกับหุ้นสหรัฐฯ ที่ดีดตัวขึ้นแรงเกินคาด แต่ไม่ได้มองเป็นภาวะฟองสบู่ เนื่องจากราคาหุ้นอยู่ในระดับที่รับได้ พี/อีหุ้นไทยปีหน้า 16 เท่า หุ้นสหรัฐ 18-19 เท่า ซึ่งไม่ได้สูงจนเสี่ยง ซึ่งพี/อีสูงเพราะดอกเบี้ยต่ำ รวมทั้งตลาดได้แรงหนุนจากมาตรการการคลังและธนาคารกลางทั่วโลกอัดฉีดเงินเข้าระบบ รวมทั้งตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ค่อนข้างมาก ขณะที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงในช่วงที่ผ่านมาส่งผลดีต่อตลาด”นายสันติ กล่าว

อย่างไรก็ตามมุมมองดัชนีขาลงในช่วงครึ่งปีหลังไม่น่าจะลงมากและคงไม่ลงไปลึกเหมือนช่วงครึ่งปีแรกที่เกิดโควิด-19 แม้หากเกิดการแพร่ระบาดรอบสอง แต่อาจไม่ถึงขึ้นต้องปิดเมือง เชื่อว่าทางการแพทย์เรียนรู้การรักษาคนไข้และรับมือโควิด-19 ได้ โดยแนะนำทยอยเข้าลงทุนหุ้น แต่จากมุมมอง 12 เดือนข้างหน้ามองผลตอบแทนตลาดหุ้นไทยประมาณ 6-7% รวมอัตราเงินปันผลแล้ว ส่วนพี/อี ตลาดปี 2564 ประมาณ 16 เท่า จึงแนะนำนักลงทุนกระจายการลงทุนไปยังตลาดหุ้นต่างประเทศมากขึ้นกว่าในประเทศ โดยมองโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่า แม้ราคาจะปรับตัวขึ้นมาแล้วแต่แนวโน้มยังเติบโตได้ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในตลาดหุ้นสหรัฐและตลาดหุ้นจีน A-Share ซึ่งมีหุ้นเทคโนโลยีสัดส่วนที่สูง เมื่อเทียบตลาด H-Share มีน้ำหนักหุ้นอิงเศรษฐกิจเก่า อย่างแบงก์ค่อนข้างมาก จึงมองหุ้นจีน A-Share ผลตอบแทนจะดีกว่าและแนวโน้มยังเติบโตได้อีกมาก

ส่วนกรณีประเด็นการเมืองในไทยในขณะนี้มองว่าไม่น่าจะมีผลต่อตลาดหุ้นมากนักแม้จะยังไม่ทราบว่าใครจะมาดูแลงานด้านเศรษฐกิจ เนื่องจากนายกรัฐมนตียังคนเดิม นโยบายต่างๆ ยังเดินหน้า รวมถึงมาตรการรับมือโควิด-19 ยังต้องมีอยู่ ส่วนนักลงทุนต่างชาติซึ่งขายหุ้นไทยต่อเนื่องก็ขายหุ้นทั่วโลกเช่นกัน จากความกังวลโควิด-19 โดยมีเพียงเงินไหลเข้าไปในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเป็นหลัก ซึ่งการประเมินเม็ดเงินไหลเข้าลงทุนหุ้นไทยยังคาดการณ์ยาก

นายสันติ กล่าวว่า สำหรับธีมการลงทุนที่วางไว้ตั้งแต่ต้นปีของบลจ.บัวหลวง คือ “เครือข่ายครอบคลุมสร้างความแข็งแกร่ง บรรษัทแข็งแรงสร้างความยั่งยืน” ที่เน้นการลงทุนกับแพลตฟอร์มธุรกิจ และอี-คอมเมิร์ซ รวมทั้งการลงทุนที่คำนึงถึงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และธรรมาภิบาล (Governance) หรือ ESG นั้น ซึ่งการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้เห็นภาพธีมลงทุนปีนี้ชัดเจนมากขึ้น จากพฤติกรรมคนทั่วโลกที่ปรับใช้แพลตฟอร์มธุรกิจและอี-คอมเมิร์ซรวดเร็วขึ้น ซึ่งเป็นการตอกย้ำธีมการลงทุนปีนี้ว่า มาถูกทาง

ส่วนในไทย มีหลายบริษัทที่สามารถปรับตัวได้ดี สามารถตอบโจทย์ของพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปได้ ขณะที่ประเด็น ESG พบว่า หลังจากโควิด-19 แพร่ระบาดนั้น ผู้ลงทุนได้ให้ความสำคัญกับบริษัทที่เน้นการเติบโตในระยะยาวอย่างยั่งยืน สะท้อนได้จากเม็ดเงินที่ไหลเข้ากองทุน ESG ทั่วโลกมากขึ้นกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับสิ้นปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่า ผู้ลงทุนตระหนักเรื่อง ESG มากขึ้น และหุ้นกลุ่มที่มี ESG ก็มีผลการดำเนินงานที่ดีด้วย

ส่วนการจัดพอร์ตลงทุนควรกระจายการลงทุนให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ของการลงทุน ความเสี่ยงที่รับได้ รวมถึงอายุ หากเดิมมีสินทรัพย์เสี่ยงอยู่น้อยเกินไปก็ควรเพิ่มสัดส่วนนี้ ขณะเดียวกันควรกระจายความเสี่ยงของการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายทั้งในประเทศและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น หุ้น ตราสารหนี้ สินทรัพย์ทางเลือก เช่น กองทุนอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐาน และทองคำ เป็นต้น โดยต้องเน้นมุมมองการลงทุนในระยะยาว ทยอยลงทุนในภาวะที่ตลาดย่อตัวลงมา ไม่ควรเก็งกำไรในระยะสั้น

นายสันติ กล่าวว่า สิ่งที่สำคัญในการลงทุน นอกจากจะกระจายการลงทุนแล้ว ยังต้องวางแผนการลงทุนด้วย เพราะในช่วงโควิด-19 ที่เศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้สินทรัพย์ส่วนที่เตรียมไว้สำหรับสภาพคล่องมีความสำคัญมากขึ้น เพื่อให้เพียงพอที่จะให้ผ่านช่วงนี้ไปได้ ซึ่งสำหรับคนวัยทำงานแล้ว ควรวางแผนพอร์ตการลงทุนในระยะยาว ไม่เช่นนั้นแล้วเงินที่เก็บไว้ใช้ในวัยเกษียณอาจจะไม่เพียงพอ โดยเรื่องของการลงทุนนั้น วินัยเป็นสิ่งสำคัญ ได้แก่ ความสม่ำเสมอในการสมทบเงินลงทุน และความอดทนต่อความผันผวน

สำหรับคนที่เกษียณแล้วต้องกระจายการลงทุนให้เหมาะสม ไม่จำเป็นต้องมีสัดส่วนหุ้นที่สูงเหมือนในอดีต แม้ว่าราคาหุ้นจะปรับตัวได้ดีในช่วงที่ผ่านมา เพราะตลาดการเงินยังมีความผันผวนอยู่ ควรจัดสรรเงินลงทุนตามกรอบเป้าหมายที่วางไว้อย่างมีวินัย

ทั้งนี้ นายสันติ เข้ามารับตำแหน่ง CIO อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 เม.ย.2563 โดยนายสันติ กล่าวว่า การบริหารงานจะยึดมั่นปรัชญาการลงทุนของบลจ.บัวหลวง ซึ่งเน้นแสวงหาผลตอบแทนในระยะยาวอย่างสม่ำเสมอ ด้วยการลงทุนอย่างรอบคอบไม่เสี่ยงมากจนเกินควร

ส่วนกระบวนการลงทุน จะใช้หลักการเลือกตราสารลงทุนโดยมุ่งไปที่ปัจจัยพื้นฐานที่ดี มีความชัดเจนของความสามารถในการทำกำไร และสามารถลงทุนได้ในระยะยาว พร้อมจับจังหวะการเข้าซื้อขายที่ดี เพื่อให้ได้มาซึ่งผลตอบแทนที่ดี หรือ Good Stock + Good Trade = Good Performance เช่นเดิม

“ผมได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง CIO ในช่วงที่ประเทศไทยเริ่มมีการล็อกดาวน์ ซึ่งถือเป็นความท้าทายอย่างมาก เพราะถึงแม้ช่วงโควิด-19 แพร่ระบาด หลายคนต้องหยุดงานหรือทำงานจากที่บ้าน แต่ตลาดการลงทุนโลกไม่ได้หยุดนิ่งไปด้วย โดยช่วงแรกตลาดการลงทุนปรับตัวลงมาค่อนข้างแรง และจากนั้นก็ปรับตัวขึ้นเร็วและแรงที่สุดในรอบหลายสิบปี ในฐานะ CIO กองทุนบัวหลวง พร้อมรับมือกับความท้าทายที่เกิดขึ้น โดยยึดมั่นปรัชญาการลงทุน และสร้างผลตอบแทนให้ลูกค้าพอใจในระยะยาว ซึ่งเป็นเป้าหมายของเราและเป็นไปตามความมุ่งมั่นของบิรษัทแม่คือธนาคารกรุงเทพ บริษัทแม่ ต้องการให้บริการที่เป็นเลิศแก่ลูกค้า ซึ่งเราก็ตอบโจทย์ตรงนี้ให้ธนาคารกรุงเทพ”นายสันติ กล่าว

อ่านข่าว

บลจ.บัวหลวงเตรียมออกกองทุนช่วยนักลงทุนจัดพอร์ต – RMF ลุยหุ้นจีน A-Share