ทริสจัดเรทติ้งหุ้นกู้ CPALL วงเงิน 2.5 หมื่นลบ. ระดับ AA-

HoonSmart.com>> ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันวงเงินไม่เกิน 2.5 หมื่นล้านบาท “ซีพี ออลล์” ที่ระดับ “AA-” ประเมินโควิด-เศรษฐกิจซบเซากระทบผลประกอบการปี 63 หนักหน่วง คาดรายได้จากการดำเนินงานลดลง 1% ก่อนกลับมาโต 6% ในปี 64-65 

บริษัท ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บริษัท ซีพี ออลล์ (CPALL) ที่ระดับ “AA-” ในขณะเดียวกันยังจัดอันดับเครดิตให้แก่หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 2.5 หมื่นล้านบาทที่ระดับ “AA-” ด้วยเช่นกัน โดยบริษัทจะนำเงินไปจ่ายชำระหนี้เดิมและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน

อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทซึ่งเกิดจากปัจจัยต่าง ๆ อาทิ การเป็นผู้นำในธุรกิจร้านค้าสะดวกซื้อในประเทศไทย ลักษณะของธุรกิจค้าปลีกที่สามารถสร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน การมีเครือข่ายสาขาที่แข็งแกร่งและครอบคลุมทั่วประเทศ และการมีธุรกิจสนับสนุนที่เข้มแข็ง อย่างไรก็ตาม การพิจารณาอันดับเครดิตดังกล่าวยังคำนึงถึงความกังวลเกี่ยวกับอำนาจซื้อที่อ่อนแอลงของผู้บริโภค ตลอดจนภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยยิ่งขึ้นจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด 19 ซึ่งส่งผลกระทบในด้านลบต่อภาคธุรกิจค้าปลีกอีกด้วย

ผลการดำเนินของบริษัทดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย(อีบิทดา)เพิ่มขึ้นเท่ากับ 5.23 หมื่นล้านบาทในปี 2562 และ 1.37 หมื่นล้านบาทในช่วงไตรมาสแรกของปี 2563 เทียบกับระดับ 4.21 หมื่นล้านบาทในปี 2559

อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และเศรษฐกิจที่ซบเซาจะส่งผลลบต่อผลการดำเนินงานในปี 2563 เป็นอย่างมาก ภายใต้สมมติฐานขั้นพื้นฐานของทริส  คาดว่ารายได้จากการดำเนินงานรวมจะลดลง 1% และจะกลับมาเติบโต 6% ต่อปีในช่วงปี 2564-2565 โดยปัจจัยที่ผลักดันการเติบโตของรายได้จะมาจากการเปิดสาขาใหม่ ในขณะที่ยอดขายจากสาขาเดิมคาดว่าจะลดลงอย่างมากในปี 2563 และค่อย ๆ ฟื้นตัวดีขึ้นในปี 2564-2565

ภาระหนี้สินของบริษัทก็ปรับตัวดีขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา กระแสเงินสดที่แข็งแกร่งส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายลดลงมาอยู่ที่ระดับ 3.6 เท่า (ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2563 จากระดับ 5.5 เท่าในปี 2557

แม้ว่าผลการดำเนินงานจะปรับตัวดีขึ้น แต่บริษัทยังมีแผนการลงทุนขนาดใหญ่ในอนาคต ทริสเรทติ้งคาดว่า หากการลงทุนในกลุ่มเทสโก้ประสบความสำเร็จก็จะส่งผลต่อความเสี่ยงทางการเงินเป็นอย่างมาก โดยคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนน่าจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับประมาณ 76% จากระดับ 67.5% ในปี 2562 และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายน่าจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับประมาณ 5.8 เท่าจากระดับ 3.5 เท่าในปี 2562

ทริสเรทติ้งได้ประกาศ “เครดิตพินิจ” แนวโน้ม “ลบ” ให้แก่อันดับเครดิตองค์กรและตราสารหนี้ทั้งหมดของบริษัทมาตั้งแต่เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2563  เนื่องจากบริษัทประกาศจะลงทุนในสัดส่วน 40% ใน บริษัท เทสโก้ สโตร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และ Tesco Stores (Malaysia) Sdn. Bhd. ซึ่งรวมเรียกว่า “กลุ่มเทสโก้เอเชีย” ด้วยมูลค่าเงินลงทุนในส่วนของบริษัทที่สัดส่วน 40% โดยเทียบเท่ากับ 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (หรือประมาณ 9.6 หมื่นล้านบาท) ซึ่งบริษัทจะใช้เงินกู้ทั้งจำนวนสำหรับการลงทุนในครั้งนี้

อย่างไรก็ตาม การทำธุรกรรมในครั้งนี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อบริษัทบรรลุเงื่อนไขบังคับก่อนตามที่กำหนดไว้อย่างครบถ้วน ซึ่งรวมถึงการได้รับอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งประกอบไปด้วยสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าของประเทศไทยและ Ministry of Domestic Trade and Consumer Affairs of Malaysia รวมทั้งยังต้องได้รับอนุมัติจากผู้ถือหุ้นของ Tesco PLC อีกด้วย ซึ่งบริษัทคาดว่าหากธุรกรรมดังกล่าวได้รับความเห็นชอบแล้ว กระบวนการซื้อกิจการก็จะแล้วเสร็จภายในปลายปี 2563 นี้

“เครดิตพินิจ” แนวโน้ม “ลบ” สะท้อนถึงความเห็นของทริสเรทติ้งว่าอันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับลดลงหรือยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปจากระดับในปัจจุบัน ทั้งนี้ คาดว่าจะทบทวน “เครดิตพินิจ” ดังกล่าวอีกครั้งหลังจากวิเคราะห์ธุรกรรมการลงทุนในกลุ่มเทสโก้เอเชีย ว่าจะมีผลกระทบต่อสถานะเครดิตของบริษัทมากน้อยเพียงใดอย่างถี่ถ้วนแล้ว

ทริสเรทติ้งมองว่าการซื้อกิจการในครั้งนี้จะช่วยเสริมสถานะความแข็งแกร่งในธุรกิจค้าปลีกของบริษัทผ่านการร่วมเป็นเจ้าของธุรกิจค้าปลีกชั้นนำในประเทศไทยและมาเลเซีย อย่างไรก็ตาม การซื้อกิจการโดยใช้เงินกู้ในครั้งนี้ หากประสบความสำเร็จก็จะส่งผลให้ระดับหนี้สินของบริษัทเพิ่มขึ้นและส่งผลต่อความเสี่ยงทางการเงินของบริษัทเป็นอย่างมาก