เบื้องหลังดัชนีวิ่งฉิว SSFX ดัน บล.ทิสโก้แนะ 6 หุ้นเด่น

HoonSmart.com>>อึ้ง! หุ้นไทยวิ่งแรงเกินคาด 24 จุด กองทุนไล่ซื้อ 6.8 พันล้านบาท ต้องรีบ เงินกองทุน SSFX ทะลัก 4 วันสุดท้ายเดือนมิ.ย. สรุปมูลค่าสินทรัพย์ 8,885 ล้านบาท บล.ทิสโก้คาดหุ้นครึ่งปีหลังผันผวน แนะทยอยสะสมแถว 1,250-1,300 จุด คัด 6 หุ้นเด่น BAM, CBG, CK, CPALL, SCC , TRUE

ตลาดหุ้นไทยพุ่งแรง ปิดที่ระดับ 1,374.13 จุด +24.69 จุด +1.83% มูลค่าการซื้อขายรวม 84,485.85 ล้านบาท  โดยนักลงทุนสถาบันไทยซื้อ 6,817 ล้านบาท บัญชีหลักทรัพย์ซื้อ 1,201  ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนในประเทศทิ้ง 7,405  ล้านบาท ต่างประเทศขายสุทธิ 613 ล้านบาท

สาเหตุที่สถาบันไทยซื้อหุ้นมากถึง 6,000  ล้านบาท เกิดจากเงินจากกองทุน SSFX 3 เดือน ที่ไหลเข้ามาก

บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า กองทุน SSFX ที่เปิดให้นักลงทุนซื้อเป็นระยะเวลา 3 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.2563 มีมูลค่าสินทรัพย์ 8,885 ล้านบาท นักลงทุนเร่งซื้อ 4 วันสุดท้ายปลายเดือนมิ.ย. กระจุกตัว 5 บลจ.กว่า 86% โดยเฉพาะในช่วง 4 วันสุดท้ายที่มีเงินไหลเข้าวันละ 600-2,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นลักษณะคล้ายกับกองทุน LTF ที่มักมีเงินไหลเข้ากระจุกตัวในช่วงท้ายของปี

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มครึ่งปีหลังตลาดหุ้นยังผันผวนสูงจาก 4 ประเด็นหลัก คือ 1. ความไม่แน่นอนของสถานการณ์แพร่ระบาด COVID-19 ระลอกใหม่ในต่างประเทศ ซึ่งอาจทำให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจล่าช้าออกไป หรือต่ำกว่าที่ประเมินไว้ 2. ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ – จีนที่อาจกลับมาปะทุขึ้น 3. ในช่วงปลายปีนี้มีโอกาสที่บริษัทต่างๆ จะผิดนัดชำระหนี้ หรือล้มละลาย หลังจากที่มาตรการช่วยเหลือต่าง ๆ สิ้นสุดลง และ 4. ความผันผวนของราคาน้ำมัน ซึ่งจะมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทย และแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของเงินเฟ้อ ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อความเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ (Bond Yield)

“ยังคงมองตลาดหุ้นจะผันผวนสูงในช่วงครึ่งปีหลัง เพราะมีปัจจัยความไม่แน่นอนรออยู่ แต่สำหรับนักลงทุนที่รอจังหวะเข้าซื้อหุ้นไทยนั้นมองว่ากรอบดัชนีที่ 1,250-1,300 จุดเป็นระดับดัชนีที่ไม่แพง และเป็นจังหวะที่น่าทยอยสะสมอีกครั้ง”นายอภิชาติ กล่าว

สำหรับธีมหุ้นเด่นที่น่าลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังคือ กลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบน้อยจาก COVID-19 หรือมีความเสี่ยงต่ำหากเกิดการแพร่ระบาดระลอก 2 รวมทั้งมีความปลอดภัยจากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ – จีนที่อาจกลับมาปะทุขึ้นในช่วงก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดี คือ BAM, CBG และ CPALL ผสานกับหุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการดำเนินชีวิตแบบ New Normal แนะนำ TRUE และแนวโน้มการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐที่คาดว่าจะกลับมาเร่งตัวขึ้นเพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ แนะนำ CK และ SCC ดังนั้น 6 หุ้นเด่นครึ่งปีหลัง คือ BAM, CBG, CK, CPALL, SCC และ TRUE” นายอภิชาติกล่าว

สำหรับหุ้นเด่นในเดือนก.ค.นี้ บล.ทิสโก้แนะนำหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการสัญจรที่ฟื้นตัวหลังคลายล็อกดาวน์ การเปิดเทอม การกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ คือ BEM และ PTG และหุ้นแนวโน้มกำไรไตรมาส 2/2563 ออกมาดี มีเงินปันผลระหว่างกาล แนะนำ CBG, DCC, SCC และ TVO เพราะฉะนั้น หุ้นเด่นที่แนะนำในเดือนกรกฎาคม คือ BEM, CBG, DCC, PTG, SCC และ TVO ด้านแนวรับหุ้นไทยในเดือนกรกฎาคม มีแนวรับแรกอยู่ที่ 1,305 จุดและแนวรับถัดไปที่ 1,300, 1,280 จุด และ 1,260 จุด ตามลำดับ ส่วนต้านแรกของหุ้นไทยอยู่ที่ 1,350 จุด และแนวต้านถัดไปที่ 1,380 จุดตามลำดับ

นอกจากนี้ ยังพบประเด็นที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนในหุ้นคือ แนวโน้มการลงทุนในวิถีปกติใหม่ (New Normal) ซึ่งหลังจากนี้ผู้ลงทุนอาจจะต้องยอมรับราคาหุ้นที่แพงขึ้น ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น และคาดหวังผลตอบแทนที่ลดลง เพราะคาดว่าธนาคารกลางทั่วโลกน่าจะใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย ผ่านการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้อยู่ในระดับต่ำมาก และอัดฉีดสภาพคล่องผ่านการผ่อนคลายการเงินเชิงปริมาณ (QE) เพื่อประคับประคองและฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบ COVID-19 ส่งผลให้สินทรัพย์ลงทุนหลักของโลกแพงขึ้นทั้งตลาดตราสารหนี้ และตลาดหุ้น

“การใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายยาวนาน ส่งผลให้แนวโน้มอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลทั่วโลกลดต่ำลงจนบางประเทศถึงขั้นกลับมาติดลบอีกครั้ง นอกจากจะสะท้อนราคาพันธบัตรอยู่ในระดับสูงมากแล้ว อีกนัยหนึ่งยังสะท้อนว่า “เงินไม่มีที่ไป” ซึ่งมองว่าจะเป็นการบีบบังคับให้มีความจำเป็นต้องโยกเม็ดเงินออกจากตลาดพันธบัตรสู่ตลาดสินทรัพย์อื่นๆ ด้วยการยอมรับความเสี่ยงที่สูงขึ้นเพื่อแสวงหาผลตอบแทนที่ดีกว่าเดิม (Search for Yield) โดยเฉพาะตลาดหุ้นที่ได้รับอานิสงส์จากแรงขับเคลื่อนด้านสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้นักลงทุนต้องยอมรับราคาหุ้นที่แพงขึ้น ยอมรับความเสี่ยงจากการลงทุนที่เพิ่มขึ้น ไปพร้อมๆ กับการคาดหวังผลตอบแทนที่ลดลง” นายอภิชาติกล่าว

สำหรับดัชนีหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2563 แกว่งตัวผันผวนมากถึง 630 จุด หรือกว่า 40% โดยขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 1,604 จุดเมื่อวันที่ 3 ม.ค. ก่อนปรับตัวลงทำจุดต่ำสุดที่ 969 จุดเมื่อวันที่ 13 มี.ค.

นอกจากนี้ ยังได้เห็นการประกาศใช้มาตรการเซอร์กิตเบรกเกอร์ถึง 3 ครั้งในเดือนมี.ค.หลังดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงแรงเพราะเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจทั่วโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19

อ่านข่าว

ปิดฉากกองทุน SSFX กวาด 8.8 พันลบ. แรงซื้อกระจุกตัว 5 บลจ.