HoonSmart.com>>หุ้นไทยดิ่งตามดาวโจนส์ล่วงหน้า ล่าสุดร่วง 792 จุด ผิดหวังเฟดจำกัดเงินอัดฉีด กดดอกเบี้ยต่ำ 0-0.25% ยาว 3 ปีจนกว่าเศรษฐกิจฟื้น กลัวโควิดระบาดรอบ 2 กระเทือนท่องเที่ยว พลังงาน แบงก์ใหญ่ ค่าเงินบาทแข็งหลุด 31 บาท ธปท.เตือนอย่าตกใจ กลยุทธ์ลงทุนในภาวะนี้ ต้องยิงให้ตรงเป้า บลจ.บัวหลวงเน้นบริษัท “การเงินแกร่ง-แข่งขัน-ปรับตัวได้ดี” บล.ดีบีเอสฯแนะปรับตาม New Normal บล.บัวหลวง ชวนซื้อ SSFX ดอกเบี้ยต่ำนาน โรงไฟฟ้า-บริษัทที่มีหนี้สูงสบาย บาทแข็งกระเทือนส่งออก อิเล็กทรอนิกส์เหนื่อย

ตลาดหุ้นวันที่ 11 มิ.ย. แรงขายถาโถมเข้ามาตอนเปิดตลาดภาคบ่าย ไล่ทิ้งหุ้นเกลื่อนกระดาน ดัชนีดำดิ่งลึกสุด 34 จุด ก่อนปิดที่ระดับ 1,396.77 จุด -22 จุดหรือ-1.55% ด้วยมูลค่าการซื้อขายรวม 82,892 ล้านบาท นักลงทุน 3 กลุ่มขาย นำโดยสถาบันไทยทิ้งมากถึง 4,111 ล้านบาท สวนทางรายย่อยช้อน 5,298 ล้านบาท
ส่วนค่าเงินบาทแข็งต่อเนื่องหลุด 31 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เผยตั้งแต่วันที่1-11มิ.ย. แข็งค่า 2.71% ตามภูมิภาค แถมเป็นรองอินโดนีเซียและเกาหลี จากค่าเงินดอลลาร์อ่อน เงินต่างชาติเข้ามาซื้อหุ้นและพันธบัตรไม่มากอย่างที่คาด
ตลาดหุ้นและตลาดเงินผิดหวังมติที่ประชุมธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) กำหนดเม็ดเงินและช่วงเวลาในการอัดฉีด QE จากที่ผ่านมาไม่จำกัด และมติใช้ดอกเบี้ยนโยบาย ต่ำ 0-0.25% นานถึง 3 ปี จนกว่าเศรษฐกิจฟื้น กลัวโควิด-19 ระบาดรอบ 2
สาเหตุที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยทรุดลงอย่างรวดเร็วในภาคบ่าย หลังจากดาวโจนส์ล่วงหน้าร่วงแรงกว่า 500 จุด ณ เวลาประมาณ 19.30 น. ดิ่งลง 792 จุด ลากหุ้นยุโรปลงตาม
บลจ.บัวหลวง เปิดกลยุทธ์จะต้องเน้นเลือกลงทุนหุ้นที่มีความแข็งแกร่งทางการเงินและมีความสามารถในการแข่งขัน มีกลยุทธ์การปรับตัวที่ดี รวมทั้งให้น้ำหนักมากขึ้นกับกลุ่มธุรกิจที่สามารถกลับมาดำเนินการได้ใกล้เคียงภาวะปกติในเวลาไม่นานโดยบล.โนมูระ พัฒนสิน เปิดเผยว่า ดาวโจนส์ล่วงหน้าปรับฐานรุนแรง เกิดจากการปรับพอร์ต ขณะที่หุ้นไทยเต็มมูลค่า และความเสี่ยงการหั่นประมาณการปี 2564 ลงอีกหลังงบไตรมาส 2 ของปีนี้ กลยุทธ์ให้กระชับพอร์ตเก็งกำไร โดยมีถัดไปแนวรับ 1375/1350/1320 จุด
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย)แนะปรับกลยุทธ์ลงทุน ตามสูตร ภาคท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัว New Normal ที่อิงกับดิจิทัลมากขึ้น ทำให้ความสนใจเรื่องอาหารและสุขภาพสูงขึ้น มีความต้องการซื้อที่พักอาศัยแนวราบนอกเมือง ส่วนคอนโดมิเนียมกลางเมืองอาจจะน้อยลง ความจำเป็นในการเดินทาง การพักค้างในในโรงแรม การจัดงานและอีเวนต์ต่างๆ ก็น้อยลง สำหรับธปท.จะคงใช้อัตราดอกเบี้ยต่ำเป็นประวัติการณ์ต่อไปอีกหลายไตรมาส กระทบกับสเปรดของสถาบันการเงิน โดยเฉพาะแบงก์ใหญ่ แต่่วยลดความเสี่ยงการด้อยค่าของสินทรัพย์น้อยลง
ด้านค่าเงินบาทแข็งขึ้นราว 4.6% จากสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นลบกับภาคส่งออกในไตรมาส 2 ทั้งชิ้นส่วนอิเลคทรอนิกส์และส่งออก จะอ่อนแอลงและต่ำสุด คาดว่าจะค่อยๆ ดีขึ้นในครึ่งปีหลัง โดยน่าจะเห็นการเติบโตในไตรมาส 4 เทียบกับไตรมาส 3
นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า กลยุทธ์การลงทุน ภายใต้ภาวะดอกเบี้ยที่ต่ำ เศรษฐกิจหดตัว และเงินบาทแข็งค่า ในช่วงครึ่งปีหลัง แนะนำการจัดพอร์ตให้สมดุล เน้นหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากโควิดในระดับต่ำ รายได้มีแนวโน้มเติบโต หรือฟื้นตัวที่ดีขึ้น รวมถึงพื้นฐานบริษัทมั่นคง
“แนะนำกลุ่มสาธารณูปโภค ให้ WHAUP ที่ราคาเหมาะสม 8 บาท ผลงานครึ่งปีหลังฟื้นตัวได้ดี กลุ่มพลังงานทดแทน ให้ SSP ที่ 9 บาท และSUPER ที่ 1.20 บาท และCPF ที่ 33.75 บาท คาดกำไรปีนี้มีโอกาสนิวไฮ ”
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) แนะนำหุ้นที่ได้ประโชย์จากดอกเบี้ยต่ำ กลุ่มไฟแนนซ์ แนะ SAWAD และ MTC ถึงแม้ราคาจะเต็มมูลค่าที่เหมาะสมไปแล้ว แต่ยังมีโอกาสปรับขึ้นได้อีก เนื่องจากเม็ดเงินการลงทุนมีมาก รวมถึง BAM ที่จ่ายปันผลดี คาดปีละ 1 บาท หรืออัตราผลตอบแทน 3-4% สำหรับโรงไฟฟ้าให้ GPSC ที่ 85 บาท BGRIM ที่ 57 บาท น่าสนใจจากการที่ได้ประโยชน์ภาระหนี้ในสกุลเงินต่างประเทศ จากค่าเงินบาทแข็ง
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) แนะนำกลุ่มโรงไฟฟ้า ให้ BGRIM และSUPER กลุ่มไฟแนนซ์ ให้ SAWAD ,MTC และ KTC กลุ่มสื่อสาร ADVANC และINTUCH และกลุ่มขนส่ง BEM คาดดัชนีแกว่งในกรอบ 1,390-1,450 จุด

