HoonSmart.com>>บล.ทิสโก้เปิดโผ 9 หุ้นเด็ด อยู่บนจอเรดาร์นักลงทุนต่างชาติซื้อคืน เก็บต่อวันที่สี่ 2,469 ล้านบาท สกิดดัชนีเริ่มมีโอกาสขึ้นน้อย วิ่งเข้าใกล้เป้าหมายปลายปีที่ให้ไว้ 1,420 จุด ตลาดเก็งกำไรเต็มรูปแบบ เทรดสนั่น 1 แสนล้านบาท สถาบันไล่ซื้อ 3,879 ล้านบาท กลัวตกขบวน แบงก์ใหญ่ร้อนแรง KBANK-SCB ซิลลิ่ง เสียงเตือนให้ระวัง ขึ้นมาสูงกว่าราคากลางที่นักวิเคราะห์คาดแล้ว ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินเงินบาทแข็งต่อบริเวณ 31.00-31.50 บาท
วันที่ 4 มิ.ย.2563 หุ้นไทยปรับตัวแรงตามตลาดต่างประเทศ นักลงทุนต่างชาติลุยซื้อต่อเนื่องวันที่สี่ จำนวน 2,469 ล้านบาท สถาบันเก็บมากถึง 3,879 ล้านบาท ผสมพอร์ตบล.1,476 ล้านบาท รายย่อยขายทำกำไรกลุ่มเดียว 7,826 ล้านบาท ผลักดันให้ดัชนีหุ้นทะลุ 1,400 จุดอย่างรวดเร็ว ปิดที่ 1,411.01 จุด +36.83 จุด หรือ +2.68 % ท่ามกลางมูลค่าการซื้อขายหนาแน่นถึง 122,562 ล้านบาท นำโดยหุ้นขนาดใหญ่ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ สื่อสาร ท่องเที่ยว และอสังหาริมทรัพย์ มีแรงขายหุ้นโรงไฟฟ้า ส่วนค่าเงินบาท บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินมีโอกาสแข็ง อยู่ในกรอบ 31.00-31.50 บาท/ดอลลาร์ฯ
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันนี้ (YTD) นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยกว่า 1.9 แสนล้านบาท แต่ล่าสุดเริ่มเห็นสัญญาณบวก ต่างชาติพลิกมาซื้อสุทธิอย่างมีนัยสำคัญ 3 วันติดต่อกัน( 29 พ.ค.-2 มิ.ย.2563) รวมกว่า 8,900 ล้านบาท นับเป็นการซื้อสุทธิ 3 วันติดต่อกันครั้งแรกในรอบ 5 เดือน
จากการตรวจสอบเงินทุนต่างประเทศไหลเข้าตลาดหุ้นในภูมิภาคนี้มีทิศทางเป็นบวกเกือบทุกตลาดเหมือนประเทศไทย โดยในสัปดาห์นี้ (WTD) เม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าสุทธิแล้วกว่า 3,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นับเป็นการไหลเข้าสูงสุดในรอบ 22 สัปดาห์ หรือประมาณ 6 เดือน โดยเงิน ไหลเข้าตลาดหุ้นอินเดียมากที่สุด 1,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตามด้วยตลาดหุ้นไต้หวัน และตลาดหุ้นเกาหลีใต้ที่ 1,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และ 178 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตามลำดับ ขณะที่ตลาดหุ้นอินโดนีเซียมีเม็ดเงินไหลเข้า 166 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตลาดหุ้นไทยมีเม็ดเงินไหลเข้า 110 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และตลาดหุ้นฟิลิปปินส์มีเม็ดเงินไหลเข้า 21 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มีเพียงตลาดหุ้นมาเลเซียเท่านั้นที่มีเม็ดเงินไหลออก 86 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
สาเหตุที่เงินทุนต่างชาติไหลกลับเข้ามาซื้อหุ้นในภูมิภาคนี้อีกครั้ง มองว่าเป็นผลจากนักลงทุนคาดหวังการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและกำไรของบริษัทจดทะเบียนในช่วงครึ่งปีหลัง จากการทยอยคลายล็อกดาวน์ ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง และสภาพคล่องในระบบที่เพิ่มขึ้นมหาศาลจากการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบของธนาคารกลางหลักในต่างประเทศ ทำให้นักลงทุนกลับมาแสวงหาการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้น (Search for Yield)
“สัญญาณบวกเงินทุนต่างประเทศไหลเข้าหุ้นทั่วภูมิภาค เป็นความเสี่ยงด้านบวก (Upside Risk) ต่อตลาดหุ้นในระยะสั้น บล.ทิสโก้ประเมินว่า เม็ดเงินต่างชาติที่ไหลเข้า หรือไหลออก ทุกๆ 1 หมื่นล้านบาท จะมีผลให้ดัชนีหุ้นไทยเปลี่ยนแปลงขึ้นหรือลง ราว 29 จุด หากเข้ารอบนี้มีความต่อเนื่อง คาดจะผลักดันให้ดัชนีขึ้นไปทดสอบ 1,390-1,400 จุดได้ไม่ยาก ซึ่งเป็นการปิดช่อง (GAP) ทางเทคนิคอีก 1ช่อง ต้องใช้ความระมัดระวังเพิ่มขึ้น เพราะโอกาสการปรับขึ้นหลังจากนี้น่าจะมีจำกัดแล้ว ใกล้เป้าหมายของบล.ทิสโก้ประเมินว่าจะดัชนีสิ้นปีจะอยู่ที่ 1,420 จุด และหากใช้วิธีคำนวณเป้าหมายโดย Bottom-up จะได้เป้าหมายดัชนีปลายปี 2563 ที่ 1,433 จุด” นายอภิชาติ กล่าว
สำหรับหุ้นที่คาดว่าจะเป็นเป้าซื้อคืนของต่างชาติ ควรมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ 1. เป็นหุ้นขนาดใหญ่มีสภาพคล่องในการซื้อขายสูง จะให้ความสำคัญกับหุ้นที่อยู่ใน SET100 และ MSCI Global Standard Index 2. เป็นหุ้นที่ต่างชาติลดการถือครองลงในปีนี้ เทียบกับปลายปีที่แล้ว และที่สำคัญเพิ่งเริ่มมีสัญญาณบวกจากแรงซื้อต่างชาติเข้ามาอย่างมีนัยสำคัญสัปดาห์นี้ และ 3. มูลค่าหุ้นไม่แพง โดยราคาหุ้นปัจจุบันยังมีโอกาสปรับขึ้นเมื่อเทียบกับมูลค่าเหมาะสมตามปัจจัยพื้นฐาน
จากการพิจารณาหุ้นตามเกณฑ์คุณสมบัติทั้งหมด มองหุ้นที่คาดว่าจะเป็นเป้าซื้อคืนของนักลงทุนต่างชาติ คือ SET50 แนะนำซื้อ ADVANC เป้าพื้นฐาน 208 บาท, BDMS เป้าพื้นฐาน 25 บาท, CPALL เป้าพื้นฐาน 86 บาท, KBANK เป้าพื้นฐาน 118 บาท, PTTGC เป้าพื้นฐาน 55 บาท, SCB เป้าพื้นฐาน 96 บาท และ SCC เป้าพื้นฐาน 372 บาทและ SET100 แนะนำซื้อ CK เป้าพื้นฐาน 23.8 บาท และ STEC เป้าพื้นฐาน 22 บาท
ด้านราคาหุ้นแบงก์ใหญ่ที่วิ่งแรงนำตลาด โดยเฉพาะ KBANK ขึ้นชนเพดานสูงสุด 15% (ซิลลิ่ง) ปิดที่ 115 บาท +15 บาท ถือว่าสูงกว่าราคากลางที่ 111.5 บาท ของนักวิเคราะห์ 16 ราย เช่นเดียวกับหุ้น SCB ปิดที่ 87.75 บาท +11.25 บาท+14.71% สูงกกว่าราคากลางที่ 80 บาทของนักวิเคราะห์ 14 ราย ยกเว้น BBL ปิดที่ 128 บาท +12.50 บาทหรือ +10.82% ยังต่ำกว่าราคากลางที่ระดับ 135 บาทของนักวิเคราะห์ 17 ราย
ส่วนหุ้นอสังหาริมทรัพย์ ที่ปรับตัวขึ้นมาก ก็ต้องระวัง เพราะราคาซิลลิ่งติดต่อกันหลายวัน โดยปัจจัยพื้นฐานไม่ได้เปลี่ยนแปลง มีเพียงข่าวบวกเรื่องครม. มีมติอนุมัติมาตรการลดภาษีที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ช่วยลดต้นทุน รวมถึงหุ้นโรงแรม รับข่าวกระทรวงการคลังเร่งเสนอมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวคาดเข้าครม.สัปดาห์หน้า
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า อยากให้ติดตามเม็ดเงินต่างชาติที่ไหลเข้ามา หากมีความต่อเนื่อง ดัชนีก็ยังมีโอกาสเพิ่มขึ้นต่อ แม้มูลค่าตลาดจะแพงก็ตาม เน้นทำกำไรช่วงสั้นๆ ทยอยลดพอร์ต ตลาดอาจจะมีจังหวะพักตัวบ้างประมาณ 1% ทยอยเข้าลงทุน ไม่แนะนำให้ไล่ตามราคาตลาด
ด้านนายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า เงินเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น ไม่สนใจว่ามูลค่าตลาดราคาจะแพง เนื่องจากผลตอบแทนดีกว่า อาจจะมีจังหวะย่อตัวลงมาบ้าง หากขึ้นไปทดสอบแนวต้าน เส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน ที่ 1,430 จุด ระมัดระวังการลงทุน และรอสัญญาณตลาดย่อตัวในการเข้าซื้อ ให้แนวรับที่ 1,400 จุด