HoonSmart.com>> “ศรีสวัสดิ์” เผยผู้ถือหุ้นแปลงวอร์แรนต์ SAWAD-W1 คึกคัก ได้เงินเพิ่มทุนกว่า 1,789 ล้านบาท หนุนเงินทุนแข็งแกร่ง กดสัดส่วนหนี้สินต่อทุนเหลือ 1.2 เท่า “กลุ่มแก้วบุตตา” ควัก 1.3 พันล้านใช้สิทธิ ชี้นักลงทุนเชื่อมั่นธุรกิจ ระบุโควิด-19 กระทบช่วงสั้น ลั่นพร้อมให้ความช่วยเหลือลูกค้า เดินหน้าขยายพอร์ตสินเชื่อโต 20-30% ตามเป้า
น.ส.ธิดา แก้วบุตตา ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์องค์กร บริษัทศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น (SAWAD) กล่าวว่า บริษัทได้รับเงินเพิ่มทุนจากการใช้สิทธิแปลงสภาพใบสำคัญแสดงสิทธิ์ที่จะซื้อหุ้นสามัญ หรือ วอร์แรนต์ SAWAD-W1 จำนวนกว่า 1,789 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้กลุ่มศรีสวัสดิ์มีฐานทุนที่แข็งแกร่งขึ้น และตัวเลขสัดส่วนหนี้สินต่อทุน(D/E)ลดลงเหลือ 1.2 เท่าจากช่วงสิ้นสุดไตรมาสแรกปี2563 สัดส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 1.3 เท่า ขณะที่กลุ่มแก้วบุตตา ได้ใช้เงินกว่า 1.3 พันล้านบาท ในการใช้สิทธิแปลงสภาพวอร์แรนต์ SAWAD-W1 เป็นหุ้นสามัญจำนวน 28.2 ล้านหุ้น
“การที่นักลงทุนทั่วไปและกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ครอบครัวแก้วบุตตา ใช้สิทธิแปลงสภาพวอร์แรนต์ในครั้งนี้ คาดว่ามาจากความเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานของ SAWAD ส่งผลให้บริษัทมีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่งเพียงพอการขยายธุรกิจในอนาคต ขณะที่D/Eก็ลดลงด้วย“น.ส.ธิดา กล่าว
สำหรับใบสำคัญแสดงสิทธิ์ที่จะซื้อหุ้นสามัญหรือ วอร์แรนต์ SAWAD-W1 ได้เปิดให้ใช้สิทธิตั้งแต่วันที่ 14-28 พ.ค.2563 ในอัตราการใช้สิทธิ 1 วอร์แรนต์ ต่อ 1.237 หุ้นสามัญ โดยราคาในการใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญอยู่ที่ 48.476 บาทต่อหุ้น
น.ส.ธิดา กล่าวถึงแนวโน้มการดำเนินธุรกิจในปีนี้ว่า ยังมีอัตราการเติบโตที่ดี โดยตั้งเป้าหมายว่าพอร์ตสินเชื่อจะเติบโตประมาณ 20-30% แม้ภาพรวมเศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 แต่บริษัทมองว่าเป็นผลกระทบระยะสั้น ซึ่งบริษัทก็พร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่
บริษัทจะเตรียมเงินทุนเพื่อรองรับการให้บริการสินเชื่อกับลูกค้าเก่าและใหม่ ที่ต้องการเงินด่วนเพื่อนำไปใช้เสริมสภาพคล่องในการกลับมาของธุรกิจ หลังจากที่รัฐบาลผ่อนคลายมาตรการผ่อนปรนระยะที่ 3
ทั้งนี้ในส่วนของสภาพคล่องนั้น บริษัทยังคงมีวงสินเชื่อกับธนาคารพาณิชย์ที่ยังไม่ได้เบิกใช้ประมาณ 5-6 พันล้านบาท นอกจากนี้ยังมีเงินสดที่ได้รับจากการแปลงสภาพวอร์แรนต์ SAWAD- W1 กว่า 1,789 ล้านบาท ขอให้นักลงทุนมั่นใจในความมั่นคงของกลุ่มศรีสวัสดิ์ โดยบริษัทคาดว่าจะนำมาใช้หมุนเวียนในการทำงาน และนำไปขยายกิจการต่อไปตามความเหมาะสม
อย่างไรก็ตามบริษัทประเมินว่าตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล)ในปีนี้ จะยังอยู่ในระดับใกล้เคียงกับของเดิมคือ 4-5 % โดยการตั้งสำรองหนี้เป็นไปตามข้อกำหนดของมาตรฐานบัญชีใหม่ TFRS9 ซึ่งทางฝ่ายบริหารมั่นใจว่าเป็นระดับที่บริษัทสามารถบริหารจัดการได้