บลจ.กรุงไทย มองตลาดหุ้นผันผวน นักลงทุนกังวลหลายประเทศพร้อมตอบโต้ “ทรัมป์” ขึ้นภาษีนำเข้าเหล็ก-อะลูมิเนียม แนะจัดพอร์ตโอกาสรับผลตอบแทนดี ชู “ตลาดเกิดใหม่” โดดเด่นปีนี้
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTAM เปิดเผยว่า บริษัทได้มีการจัดพอร์ตการลงทุน (Asset Allocation) ให้แก่ลูกค้าได้เลือกลงทุนตามความเสี่ยงที่เหมาะสมซึ่งเป็นการกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์ต่างๆโดยพอร์ตการลงทุนจะปรับเปลี่ยนไปตามสภาวะการณ์ เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ลงทุน
ทั้งนี้ สถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจจากความไม่แน่นอนด้านนโยบายเศรษฐกิจ หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าเหล็ก เป็น 25% และอะลูมิเนียม 10% ทำให้หลายประเทศมีความกังวล และพร้อมที่จะออกมาตรการภาษีตอบโต้เช่นกัน ( Trade War ) ซึ่งไม่ส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจแน่นอน ว่าผลกระทบที่ชัดเจนจะส่งผลต่ออุตสาหกรรมเป็นกลุ่มเฉพาะเจาะจง เช่น ยานยนต์ หรือการก่อสร้างที่ต้องใช้กลุ่มโลหะเหล่านี้ ในการผลิต ตลาดหุ้นยังมีการแกว่งตัวในระดับที่สูงขึ้นโดยดัชนีสะท้อนความกลัว ( VIX Index ) ที่ปรับตัวสูงขึ้นในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา สู่ระดับ 22.47 จุด ซึ่งระดับดังกล่าวบ่งชี้ความผันผวนของตลาดหุ้น S&P 500 Index จะมีราว 6.5% ภายในอีก 1 เดือนข้างหน้า หลังจากนั้นคาดว่าความผันผวนจะลดลง
อย่างไรก็ตามความผันผวนของตลาดหุ้น อาจสร้างความกังวลให้กับนักลงทุนในตลาด บลจ.กรุงไทยจึงตรวจสอบกับเครื่องมือที่บ่งชี้ความเสี่ยงรวมอย่าง Global Finance stress Index ของ BofAML ปรากฎว่ายังอยู่ในระดับต่ำกว่า 0 จึงไม่ได้แสดงความน่ากังวลใดๆ มากเป็นพิเศษ โดยการปรับขึ้นก่อนหน้า เป็นผลมาจากส่วนของความเสี่ยงตลาดที่ตึงตัว ( Market Risk) เพียงปัจจัยเดียว ไม่รวมกับความเสี่ยงด้านสภาพคล่องหรือเงินทุนไหลเข้าระหว่างสินทรัพย์ที่ไม่ได้แสดงสัญญาณเตือนใดๆ ทำให้ความเสี่ยงด้านวิกฤตทางการเงินยังมีความเป็นไปได้ที่น้อย
สำหรับผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนโดยรวมยังอยู่ในเกณฑ์ดี มีการปรับปรุงตัวเลขจากนักวิเคราะห์ในตลาดอยู่บ้าง ซึ่งขึ้นอยู่กับแต่ละตลาด แต่ส่วนใหญ่ยังมีการเติบโตที่ค่อนข้างดี ตลาดหุ้นสหรัฐเป็นตลาดที่มีการปรับประมาณการขึ้นสะท้อนนโยบายการลดอัตราภาษีนิติบุคคลของประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมป์
ในขณะเดียวกันตลาด MSCI EM (ตลาดเกิดใหม่) เป็นตลาดที่มีการปรับประมาณการตัวเลขขึ้นต่อเนื่อง นับจากปีที่ผ่านมา ซึ่งยังสอดคล้องกับมุมมองการลงทุนของบริษัทที่เห็นว่า ตลาดหุ้น EM จะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจในปีนี้
สำหรับการจัดพอร์ตในเดือนมีนาคม บริษัทได้เลือกกองทุนต่างๆที่อยู่ภายใต้การบริหารงานของบริษัทมาจัดพอร์ตการลงทุน ภายใต้ความเสี่ยงที่เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละบุคคล โดยลูกค้าที่รับความเสี่ยงได้ในระดับสูง ( Aggressive) แนะให้น้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้ 15 % ประกอบด้วย KTSTPLUS 11% และ KT-WCORP 4% ลงทุนในหุ้น 77% แบ่งเป็นหุ้นในประเทศ 40% ประกอบด้วย KTEF 22% KTSE10% KTCLMV8% หุ้นต่างประเทศ 37 % ประกอบด้วย KT-EURO 6% KT-Finance 2% KT-Healthcare 5% KT-China 12% KT-India12 % และ สินทรัพย์ทางเลือก คือ KT-Gold 8%
กลุ่มลูกค้ารับความเสี่ยงได้ในระดับกลาง ( Moderate) ให้น้ำหนักลงทุนในตราสารหนี้ 40% ประกอบด้วย KTSTPLUS 10% KT-FIX-1Y3Y 27% KT-WCORP 3% น้ำหนักลงทุนในหุ้น 50% แบ่งเป็นหุ้นในประเทศ 32% ประกอบด้วย KTEF 29% KTCLMVT3% และหุ้นต่างประเทศ 18% ประกอบด้วย KT-EURO 4% KT-Healthcare 2% KT-China 6% KT-India 6% และสินทรัพย์ทางเลือก 10% ประกอบด้วย KT-Gold 5% และ KT-PIF 5%
กลุ่มลูกค้าที่รับความเสี่ยงได้ในระดับต่ำ ( Conservative ) ให้น้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้80% ประกอบด้วย KTSTPLUS 32% KT-FIX-1Y3Y 48% น้ำหนักลงทุนในหุ้น 12% แบ่งเป็นหุ้นในประเทศ 7% ลงทุนใน KTSET50 และหุ้นต่างประเทศ 5% ได้แก่ KT-WEQ 2% KT-AASIA 3% และสินทรัพย์ทางเลือก ได้แก่ KT-Gold 2% และ KT-PIF 6%
สำหรับผลตอบแทนจากการจัดพอร์ตการลงทุน ณ วันที่ 4 มีนาคม 2561 แบบ Aggressive ย้อนหลัง 3 เดือน อยู่ที่ 2.29%, ย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 4.13% และย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ 11.33%แบบ Moderate ย้อนหลัง 3 เดือน อยู่ที่ 2.47 % , 6 เดือน อยู่ที่ 5.36% และ1 ปี อยู่ที่ 10.13% และแบบ Conservative ย้อนหลัง 3 เดือน อยู่ที่ 1.29% , 6 เดือน อยู่ที่ 2.51% และ1 ปี อยู่ที่ 4.35%