HoonSmart.com>> BKA ชูโมเดลธุรกิจ “บริการครบวงจร” ซื้อ-ขายบ้านมือ 2 ตกแต่ง-ปรับปรุงใหม่ พร้อมอยู่ ทำเลทอง ราคาเข้าถึงได้ เชื่อหลังแผ่นดินไหว ผู้บริโภคมองหาบ้านแนวราบมากขึ้น ส่งผลดีต่อ BKA เสนอขาย IPO จำนวน 60 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 1.80 บาท วันที่ 8-10 เม.ย.นี้ เข้าเทรดตลาด mai วันที่ 22 เม.ย.
ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แม้แนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังคงซบเซา แต่ตัวเลขการโอนกรรมสิทธิ์บ้านมือสองกลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และแซงยอดโอนบ้านมือหนึ่ง สะท้อนถึงกำลังซื้อที่ลดลง แต่กลับเป็นโอกาสทางธุรกิจของ BKA ผู้ให้บริการสำหรับผู้ซื้อและผู้ขายบ้านอย่างครบวงจร เตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาด mai 22 เม.ย.นี้ เร่งขยายพอร์ต AMC สร้างการเติบโต
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ รายงานสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยในช่วงไตรมาส 3 ปี 2567 มีทิศทางที่น่าสนใจเนื่องจากการโอนกรรมสิทธิ์บ้านมือสองมีสัดส่วนถึง 70% สูงกว่าบ้านมือหนึ่ง สอดคลัองกับศูนย์วิจัยกสิกรไทยที่คาดการณ์ว่า ยอดโอนกรรมสิทธิ์บ้านมือสองในปีที่ผ่านมามีแนวโน้มสูงสุดในรอบ 15 ปี แสดงให้เห็นว่าคนไทยยังมีความต้องการซื้อบ้าน แต่ด้วยกำลังซื้อที่ลดลง บ้านมือสองจึงเป็นคำตอบ และเป็นโอกาสทางธุรกิจของบริษัท บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป หรือ BKA
นายพชร ธนวงศ์เกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BKA กล่าวว่า ธุรกิจ BKA ก่อตั้งขึ้นในปี 2554 จากวิกฤตน้ำท่วมครั้งใหญ่ของประเทศไทย มีบ้านหลายแสนยูนิตที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมครั้งนี้ ทำให้บ้าน ที่อยู่อาศัยเสื่อมโทรม และเป็นปัญหาใหญ่ของคนไทยที่ต้องลุกขึ้นมาฟื้นฟูบ้านครั้งใหญ่ BKA จึงถูกตั้งขึ้นเพื่อมาตอบโจทย์ตลาดตรงนี้ โดยเป็นผู้ให้บริการปรับปรุง ตกแต่ง และรับซื้อ-ขายบ้านอย่างครบวงจร เน้นให้บริการเจ้าของที่อยู่อาศัยรายย่อยเป็นหลัก และเป็นธุรกิจที่ให้ผลตอบแทนสูง ทำให้บริษัทเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
สำหรับรูปแบบธุรกิจของ BKA แบ่งเป็น 3 ส่วน ได้แก่ บ้านแต่ง (Flipping) รับบริการตกแต่งบ้านเพิ่มมูลค่าเพื่อขายต่อ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 80% จากรายได้รวม บ้านตัด บริการรับซื้อบ้านมาตกแต่งเพื่อขายต่อ มีสัดส่วน 18% จากรายได้รวม และบริการรับฝากขายบ้าน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 2% โดยธุรกิจในสองส่วนแรกให้อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนต่อกรณีค่อนข้างสูงประมาณ 40-70% และทำให้บริษัทเติบโตอย่างต่อเนื่อง ตอบรับกับแนวโน้มตลาดบ้านมือสองที่ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น
“ตลาดบ้านมือสองมียอดโอนกรรมสิทธิ์พุ่งแซงหน้าบ้านมือหนึ่ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการบ้านของคนไทยยังมีอยู่สูง แต่มีกำลังซื้อลดลง จึงมองหาบ้านคุณภาพ ในราคาคุ้มค่า ธุรกิจของเราไม่ใช่ธุรกิจอสังหาฯ แต่เรา คือการรับตกแต่งบ้านมือสอง ออกแบบ ปรับปรุงใหม่เพื่อเพิ่มมูลค่า เพื่อขายให้ในราคาที่ผู้บริโภครับได้ ขณะเดียวกัน BKA ยังตอบโจทย์คนที่ต้องการขายบ้าน โดยมีบริการหาผู้ซื้อให้ด้วย ได้ประโยชน์ทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย” พชร กล่าว
ขณะเดียวกันทีมงานบริหาร โดยเฉพาะนายพัชร ที่มีความรู้-ความชำนาญ การเป็นผู้ประเมินทรัพย์สินของสมาคมผู้ประเมินทรัพย์สินแห่งประเทศไทย และมีใบอนุญาต (ไลเซนต์) ผู้ประเมินทรัพย์สินขั้นสูงสุดที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จึงมีความชำนาญตีราคาทรัพย์สิน อีกทั้ง BKA เป็นตัวกลางบริษัทเดียวที่มีใบรับประกันบ้านมือ 2 ได้รับความเชื่อถือจากผู้ซื้อ-ผู้ขายอีกด้วย
ปัจจุบัน BKA มีสัดส่วนธุรกิจจากรายย่อยอยู่ที่ 80% และธุรกิจ AMC หรือบริษัทบริหารสินทรัพย์อยู่ที่ 20% โดยบริษัทต้องการขยายพอร์ตในส่วนของ AMC เพิ่มขึ้น เพราะมีสินทรัพย์คุณภาพดีจำนวนมากที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้ จึงต้องการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ mai เพื่อนำเงินมาขยายธุรกิจเพิ่มเติม
ปัจจุบัน BKA มีทุนจดทะเบียน 105 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 210 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท มีทุนที่ออกและเรียกชำระแล้ว 75 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 150 ล้านหุ้น โดยจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 60 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท หรือคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 28.57 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขาย IPO ในครั้งนี้ คาดว่าจะเปิดเสนอขายแก่ประชาชนทั่วไปในวันที่ 22 เม.ย. 2568
นายพชร กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทมีปริมาณบ้านแต่งในมือ (Backlog) มูลค่าประมาณ 200 ล้านบาท โดยมีช่วงระยะเวลาในการขายบ้าน 8-10 เดือน ขณะที่ธุรกิจบ้านฝากปัจจุบันมีทั้งหมด 400-500 สัญญา โดยบริษัทขายบ้านได้ประมาณ 200 หลังต่อปี ซึ่งเชื่อว่าหลังจากการเข้าระดมทุนจะสร้างการเติบโตให้กับบริษัทได้อย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้มาขยายธุรกิจแพลตฟอร์มบริการรับตกแต่ง ซื้อ-ขายบ้านครบวงจร bangkokassets.com เพื่อสนับสนุนลูกค้าให้สามารถขายบ้านได้ง่ายขึ้น โดยนำระบบ AI มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า และในเฟส 2 จึงจะเริ่มคิดค่าบริการ ถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่จะสร้างการเติบโตของรายได้อย่างมีนัยยสำคัญ
สำหรับผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 ปี BKA มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2565 มีกำไรสุทธิ 21.44 ล้านบาท ปี 2566 เพิ่มเป็น 22.27 ล้านบาท และปี 2567 ที่ผ่านมามีกำไรสุทธิ 36.82 ล้านบาท และคาดว่าปีนี้จะมีอัตราการเติบโต 10 – 15% จากการขยายพอร์ต AMC ซึ่งสามารถอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนสูง เนื่องจากมีสินทรัพย์คุณภาพจำนวนมากที่สามารถนำมาสร้างมูลค่าเพิ่มได้
“ธุรกิจ BKA ไม่มีคู่แข่งโดยตรง เราไม่ใช่ธุรกิจอสังหาฯ แต่เป็นธุรกิจบริการรับแก้ปัญหาให้คนซื้อ คนขายบ้านอย่างครบวงจร พร้อมรีโนเวต ซ่อมแซม ตกแต่ง ซึ่งเป็นบริการที่มีอัตราการขยายตัวสูง รวมทั้งจัดหาบ้านที่มีคุณภาพ ในราคาที่จับต้องได้ ตอบโจทย์ตลาดในปัจจุบัน และมีเป้าหมายขยายธุรกิจ Smart Home ต่อไปในอนาคต” นายพชร กล่าวทิ้งท้าย