ดาวโจนส์ปิดบวกกว่า 200 จุด ยื่นรับสวัสดิการ 3.2 ล้านราย

HoonSmart.com>> ดัชนีดาวโจนส์ปิดบวกกว่า 200 จุด แรงซื้อหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มการเงิน ด้านส่งออกจีนเดือนเม.ย.กลับมาเป็นบวกหนุนตลาด ฟากหุ้นยุโรปปรับตัวขึ้นยกแผง ราคาน้ำมันลดลง

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average:DJIA) ปิดตลาดวันที่ 7 พฤษภาคม 2563 ที่ 23,875.89 จุด เพิ่มขึ้น 211.25 จุด หรือ 0.9% จากการปรับตัวขึ้นของกลุ่มพลังงานและกลุ่มการเงิน ขณะที่แรงซื้อในกลุ่มเทคโนโลยีดันให้ดันชี Nasdaq ปิดบวก

ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,881.19 จุด เพิ่มขึ้น 32.77 จุด, +1.2%

ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,979.66 จุด เพิ่มขึ้น 125.27 จุด, +1.4%

นักลงทุนกลับเข้าไปซื้อกลุ่มพลังงาน แม้ราคาน้ำมันดิบปิดตลาดจะลดลงเพราะมองว่าแนวโน้มความต้องการจะดีขึ้น

ราคาน้ำมันดิบในช่วงแรกปรับตัวสูงขึ้นหลังจากซาอุดิอาระบียผู้ผลิตรายใหญ่ปรับขึ้นราคาน้ำมันที่จำหน่ายให้ลูกค้าทั่วโลก ประกอบกับการนำเข้าน้ำมันเดือนเมษายนของจีนเพิ่มขึ้นเป็น 10.42 ล้านบาร์เรลต่อวันจาก 9.68 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนมีนาคม

แต่ราคาน้ำมันดิบได้อ่อนตัวลงหลังประธานธนาคารกลาง 3 สาขาให้ความเห็นว่า กิจกรรทางเศรษฐกิจไม่ฟื้นตัวเร็ว แม้หลายรัฐได้ผ่อนคลายล็อกดาวน์ นอกจากนี้ยังมีหลายประเทศในกลุ่มโอเปกอาจจะไม่สามารถลดกำลังการผลิตลงได้ตามข้อตกลง ขณะที่สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาล(EIA) เผยปริมาณน้ำมันสำรองสหรัฐฯประจำสัปดาห์ ณ วันที่ 1 พฤษภาคมเพิ่มขึ้น 4.6 ล้านบาร์เรล

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนมิถุนายน ลดลง 44 เซนต์ หรือ 1.8% ปิดที่ 23.55 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนกรกฎาคมลดลง 26 เซนต์ หรือ 0.9% ปิดที่ 29.46 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

หุ้นอีโอจี รีซอร์สเซส ผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้น 5.39% หลังราคาน้ำมันดิบฟื้นตัวจากการลดกำลังการผลิตและความต้องการเพิ่มดีขึ้น หุ้นเอ็กซอนโมบิลเพิ่มขึ้น 0.59% หุ้นเชฟรอนเพิ่มขึ้น 2.88%

สำหรับแรงซื้อกลุ่มธนาคาร มาจากการประเมินว่า รายได้ของผู้บริโภคจะฟื้นตัวหลังจากหลายทะยอยผ่อนคลายล็อกดาวน์ ขณะเดียวการเริ่มผ่อนคลายมาตรการในหลายประเทศเป็นการเปิดเศรษฐกิจโลกอีกครั้ง

แรงซื้อกลุ่มธนาคารมีขึ้นแม้ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้น 2 ปีกับผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาว 10 ปีถ่างกันมากขึ้น หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้น 2 ปีลดลงไปที่ระดับต่ำสุด 0.133% ขณะเดียวสัญญาช่วงหน้า(Futures) บ่งชี้ว่าอัตราดอกเบี้ย Fed Fund Rate จะติดลบในปี 2021 โดยสัญญาเฟด ฟันด์ ฟิวเจอร์สงวดเดือนมิถุนายน 2021 ที่หดตัวส่งสัญญานว่าดอกเบี้ยจะติดลบ 0.03%

หุ้นโกลด์แมน แซคส์เพิ่มขึ้น 3.05% หุ้นเจพี มอร์แกน เชสเพิ่มขึ้น 1.12% หุ้นซิตี้กรุ๊ปเพิ่มขึ้น 3.93% หุ้นแบงก์ออฟอเมริกาเพิ่มขึ้น 2.19%

การปรับตัวขึ้นหุ้นกลุ่ม FAANG ดันดัชนี Nasdaq ให้กลับมาอยู่ในแดนบวก หลังจากที่ร่วงลงไป 32% จากระดับ All Time High ไปที่ระดับต่ำสุดในวันที่ 23 มีนาคม โดยหุ้นเฟซบุ๊คเพิ่มขึ้น หุ้นแอมะซอนเพิ่มขึ้น หุ้นอัลฟาเบทเพิ่มขึ้น หุ้นแอปเปิลเพิ่มขึ้น หุ้นเน็ตฟลิกซ์เพิ่มขึ้น และแต่ละตัวต่างปรับตัวขึ้นแล้วอย่างน้อย 15% ในไตรมาสนี้และมีแนวโน้มเป็นบวกทั้งปี 2020

นอกจากนี้การปรับตัวขึ้น ของหุ้นเพย์พัล ผู้ให้บริการชำระเงินยังมีผลบวกต่อดัชนี S&P 500 และดัชนี Nasdaq จากแนวโน้มผลการดำเนินงานที่ดีหลังบริษัทคาดว่าจะปริมาณการชำระเงินจะเพิ่มขึ้นในไตรมาสสอง เพราะมาตรการระยะห่างทางกายภาพทำให้ผู้บริโภคหันไปซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น โดยปริมาณธุรกรรมเดือนเมษายนเพิ่มขึ้นตลอดทั้งเดือน 25%

แม้การยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกของสัปดาห์ก่อน ณ สิ้นเดือนเมษายนมีจำนวนถึง 3.2 ล้านราย ส่งผลให้จำนวนแรงงานที่ตกงานสูงถึงกว่า 33 ล้านราย แต่นักลงทุนค่อนข้างผ่อนคลายเนื่องจากการตกงานเริ่มชะลอตัว หลังจากที่หลายรัฐทยอยผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ และเชื่อว่าการระบาดได้ผ่านพ้นสถานการณ์ร้ายแรงสุดไปแล้ว อย่างไรก็ตามนักลงทุนรอข้อมูลการจ้างงานนอกภาคการเกษตรประจำเดือนเมษายนที่จะเผยแพร่วันศุกร์นี้ ซึ่งจะทำให้ภาพรวมการว่างงานชัดขึ้น โดยคาดว่าจะทำให้อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นมาที่ 15% จากระดับต่ำสุดรอบ 50 ปีที่ 3.5% ในสองเดือนก่อน

นายทอม บาร์กิน ประธานธนาคารกลางสาขาริชมอนด์ให้ความเห็นหลังตลาดปิดว่า ข้อมูลเศรษฐกิจนับจากนี้ไปจะดีขึ้น แต่ยังจำเป็นต้องมีการสนับสนุนประชาชนบางกลุ่มและธุรกิจเอสเอ็มอีจากรัฐบาล เพราะเกรงว่าจะใช้เวลาอีกระยะหนึ่งกว่าผู้บริโภคและธุรกิจจะวางใจและหันมามีปฏิสัมพันธ์กันอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้นจึงต้องมีมาตรการช่วยเหลือประชาชนและเอสเอ็มอีก นอกจากนี้ยังระบุว่า ไม่มีเหตุผลที่จะทำให้ต้องใช้อัตราดอกเบี้ยติดลบเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แม้หลายประเทศได้ใช้ดอกเบี้ยติดลบ

ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากการส่งออกเดือนเมษายนของจีนที่กลับมาเป็นบวก 3.5% จากระยะเดียวกันของปีก่อน และเป็นการเพิ่มขึ้นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนธันวาคมปีก่อนที่การระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธ์ใหม่อุบัติขึ้น ขณะที่การนำเข้าลดลง 14.2%

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า เจ้าหน้าที่สหรัฐฯและจีนมีกำหนดที่จะสนทนาทางโทรศัพท์ในสัปดาห์หน้าเพื่อหารือเกี่ยวกับความคืบหน้าของข้อตกลงการค้าระยะแรกที่ตกลงกันไว้ หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ตำหนิจีนในการจัดการต่อการรระบาดของไวรัสและจะใช้มาตรการทางภาษีจัดการกับจีน โดยการเจรจาครั้งนี้มีนายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ผู้แทนการค้าสหรัฐฯและนายหลิว เหอ รองประธานาธิบดีจีนเข้าร่วม

ตลาดหุ้นยุโรปส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากกลุ่มค้าปลีกที่เพิ่มขึ้น 3% หลังผลการดำเนินงานดีกว่าคาดและรายงานข่าวการควบรวมกิจการ ตลอดจนการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ของหลายประเทศ

ธนาคารกลางอังกฤษคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 0.1% และพร้อมที่จะดำเนินการเพิ่มเติมหากเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบการระบาดของไวรัสยังคงชะลอตัวต่อเนื่อง โดยคาดว่าจีดีพีไตรมาสแรกจะหดตัว 30% และปีนี้ทั้งปีจะลดลง 14% ขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ส่งสัญญานว่าอาจจะยกเลิกการล็อกดาวน์ในวันจันทร์นี้

นางแองเจลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนีประกาศขั้นตอนการผ่อนคลายล็อกดาวน์แต่จัดตั้งกลไกที่จะคุมเข้มทันทีหากจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อเพิ่มขึ้น

ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากการประกาศของเทเลโฟนิกา บริษัทเทเลคอมจากสเปน และลิเบอร์ตี้ โกลบอลที่จะควบรวมกิจการในอังกฤษของทั้งสองบริษัท โดยจะรวมบริษัท โอทู ของเทเลโฟนิโอเข้ากับ เวอร์จิ้นมีเดียของลิเบอร์ตี้ โกลบอล เข้าด้วยกัน ซึ่งเป็นการควบรวมกิจการครั้งแรกตั้งแต่การระบาดของไวรัสโควิด-19

ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 5,935.98 จุด เพิ่มขึ้น 82.22 จุด, +1.40%

ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 337.98 จุด เพิ่มขึ้น 3.64 จุด, +1.09%

ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,501.44 จุด เพิ่มขึ้น 68.06 จุด, +1.54%

ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 10,759.27 จุด เพิ่มขึ้น 153.07 จุด, +1.44%,

หุ้น Zalando ธุรกิจอีคอมเมิร์ซเพิ่มขึ้น 10% จากยอดขายไตรมาสแรกเพิ่มขึ้น 10.6% จากระยะเดียวกันของปีก่อน และคาดว่าแนวโน้มไตรมาสสองจะขยายตัวดี

หุ้นพูม่า จากเยอรมนีเพิ่มขึ้น 3% จากยอดขายไตรมาสแรกดีกว่าคาดโดยยอดขายออนไลน์เพิ่มขึ้น 40%