ดาวโจนส์ปิดลบ 288 จุด ว่างงานเพิ่มอีก 3.8 ล้าน

HoonSmart.com>> ดัชนีดาวโจนส์ปิดลบ 288 จุด ข้อมูลเศรษฐกิจไม่สดใส ว่างงานเพิ่มอีก 3.8 ล้านคน ตลาดหุ้นยุโรปร่วง ECB คงอัตราดอกเบี้ย ด้านราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average:DJIA) ปิดตลาดวันที่ 30 เมษายน 2563 ที่ 24,345.72 จุด ลดลง 288.14 จุด หรือ 1.17%, จากข้อมูลเศรษฐกิจที่ไม่สดใสทั้งการยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก การใช้จ่ายของผู้บริโภค รวมไปถึงผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน ที่ได้รับผลกระทบของการระบาดของไวรัสโควิด-19

ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,912.43 จุด ลดลง 27.08 จุด, 0.92%

ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,889.55 จุด ลดลง 25.16 จุด,-0.28%

กระทรวงแรงงานเผยการยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสัปดาห์ก่อน ณ วันที่ 25 เมษายนมีจำนวน 3.84 ล้านคน แม้ต่ำกว่า 4.4 ล้านคนในสัปดาห์ก่อนหน้า และลดลงจาก 6.86 ล้านคนระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปลายเดือนมีนาคม แต่โดยรวมการยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้นทะลุ 30 ล้านคนภายในเวลาเพียง 6 สัปดาห์ และอาจจะทำให้อัตราการว่างงานย่ำแย่สุดนับตั้งแต่ยุคเศรษฐกิจตกต่ำ หรือ The Great Depression

รายได้ส่วนบุคคลเดือนมีนาคมลดลง 2% ส่วนรายได้ที่นำไปใช้จ่ายได้จริง (Disposable Income) ลดลง 2% การใช้จ่ายของผู้บริโภคเดือนมีนาคมลดลง 7.5% เป็นผลจากการที่ธุรกิจต้องปิดกิจการและปลดพนักงาน และประชาชนส่วนใหญ่ต้องอยู่กับบ้าน การบริโภคมีสัดส่วน 70% ของจีดีพีและเป็นปัจจัยหลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

อัตราเงินเฟ้ออ่อนตัวลง โดยดัชนีราคาจากรายจ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (Core Personal Consumption Expenditure :PCE) เพิ่มขึ้น 1.3% ในรอบ 12 เดือนลดลงจาก 1.8%ในเดือนก่อน ส่วนดัชนีราคาการใช้จ่ายด้านการบริโภคพื้นฐานส่วนบุคคล (Core PCE price index)ไม่รวมอาหารและพลังงานเพิ่มขึ้น 1.7%

อัตราการออมเพิ่มขึ้นมาที่ระดับ 13.1% สูงสุดในรอบ 39 ปี จากระดับ 8% ในเดือนกุมภาพันธ์

MNI Indicators เผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) เขตชิคาโกเดือนเมษายนลดลงมาที่ระดับ 35.4 ต่ำสุดตั้งแต่เดือนมีนาคม 2009

นอกจากนี้ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากรายงานข่าวที่ว่า ทางการสหรัฐกำลังเตรียมที่จะดำเนินการตอบโต้จีนหลังจากที่วิจารณ์จีนว่าจัดการกับการระบาดไวรัสโควิด-19 ผิดพลาดและประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์สั่งการให้หน่วยสืบราชการลับรวบรวมข้อมูลเพื่อตรวจสอบว่าจีนและองค์การอนามัยโลกปกปิดข้อมูลการระบาดของไวรัสโควิด-19 หรือไม่

อย่างไรก็ตามการขยายโครงการ Main Street Lending Program ด้วยการลดขนาดวงเงินกู้และขยายขอบเขตผู้ที่มีคุณสมบัติขอสินเชื่อของธนาคารกลาง(เฟด) ในช่วงต้นการซื้อขายได้ช่วยให้ราคาหุ้นฟื้นตัวได้บ้าง

Main Street Lending Program ประกอบด้วย Main Street New Loan Facility (MSNLF) และ Main Street Expanded Loan Facility (MSELF) โดย Fed จะปล่อยสภาพคล่องวงเงิน 600 พันล้านดอลลาร์ ให้ SPV ที่ได้รับเงินทุนจากกระทรวงการคลังจำนวน 75 พันล้านดอลลาร์ ตาม Coronavirus Aid, Relief, and Economic Security Act (CARES Act) เพื่อไปซื้อ สินเชื่อจากสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ โดยสินเชื่อที่ SPV ซื้อนั้นจะต้องมีคุณสมบัติตามที่ Fed กำหนดนอกจากนี้ ยังมีการกำหนดเงื่อนไขการใช้สินเชื่อไว้ด้วย อาทิ บริษัทที่จะขอสินเชื่อตามโครงการนี้ จะต้องพยายามอย่างเต็มที่จะคงการจ้างงานและจ่ายเงินเดือนพนักงาน พร้อมทั้งปฏิบัติตามข้อจำกัด ด้าน compensation stock repurchase และ dividend ที่ระบุไว้ใน CARES Act หากบริษัทมีการ ฝ่าฝืนจะถูกให้ออกจากโครงการได้

กำไรของกลุ่มเทคโนโลยีมีส่วนหนุนตลาด โดยหุ้นเฟซบุ๊กเพิ่มขึ้นมากกว่า 5.4% จากรายได้โฆษณาใน 3 สัปดาห์แรกเดือนเมษายนทรงตัว และรายได้ไตรมาสแรกเพิ่มขึ้นแต่กำไรและจำนวนผู้ใช้ต่ำกว่าที่คาด

หุ้นเทสลาลดลง 2.3% แม้มีกำไรในไตรมาสแรก

หุ้นแอมะซอนเพิ่มขึ้น 4.3% หุ้นแอปเปิลเพิ่มขึ้น 2.1% ก่อนแจ้งผลการดำเนินงาน

หุ้นทวิตเตอร์ลดลง 7% จากรายได้โฆษณาไตรมาสแรกลดลง

ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบ หลังจากที่ประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติคงอัตรานโยบาย ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ที่ระดับ 0% ซึ่งต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับ ECB ที่ระดับ -0.50% และคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ระดับ 0.25%

ECB ระบุว่าพร้อมที่จะเพิ่มวงเงินซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) หากมีความจำเป็น และเสนอมาตรการจูงใจให้ธนาคารพาณิชย์เข้ากู้เงินจาก ECB เพื่อนำไปปล่อยเป็นสินเชื่อให้แก่ภาคธุรกิจ

เศรษฐกิจยูโรโซนหดตัวลงอย่างหนักในไตรมาสแรก ลดลง 3.8% จากไตรมาสสุดท้ายปีก่อน และลดลง

14.4% จากระยะเดียวกันของปีก่อน จากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

เศรษฐกิจฝรั่งเศสถดถอยทางเทคนิคโดยจีดีพีไตรมาสแรกหดตัว 5.8% ลดลงมากสุดนับตั้งแต่เริ่มบันทึกจีดีพีปี 1949

ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 5,901.21 จุด ลดลง 214.04 จุด, -3.50%

ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 340.03 จุด ลดลง 7.03 จุด, -2.03%

ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,572.18 จุด ลดลง 98.93 จุด, -2.12%

ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 10,861.64 จุด ลดลง 246.10 จุด, -2.22%

นักลงทุนยังเกาะติการรานงานผลการดำเนินงานบริษัทจดทะเบียน

หุ้นโรยัล ดัทช์เชลล์ ลดลง10% หลังประกาศลดเงินปันผลเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่2 เป็นผลจากราคาน้ำมันดิบที่ร่วงแรง และกำไรสุทธิลดลง 46% จากงวดเดียวกันของปีก่อน

หุ้นคาลส์เบิร์กเพิ่มขึ้น 2% แม้ยอดขายไตรมาสแรกลดลง 7%

ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงเมื่อวานนี้โดยราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนมิถุนายนเพิ่มขึ้น 3.78 ดอลลาร์ หรือ 25.1% ปิดที่ 18.84 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนมิถุนายนมิ.ย. เพิ่มขึ้น ขึ้น 2.73 ดอลลาร์ หรือ 12.11% ปิดที่ 25.27 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล