ดาวโจนส์ปิดบวกกว่า 350 จุด หวังผ่อนคลายล็อกดาวน์

HoonSmart.com>> ดัชนีดาวโจนส์ปิดบวกกว่า 350 จุด หวังผ่อนคลายล็อกดาวน์ ด้านตลาดหุ้นยุโรปบวกยกแผง ราคาน้ำมันดิบ WTI ดิ่ง 32%

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average:DJIA) ปิดตลาดวันที่ 27 เมษายน 2563 ที่ 24,133.78 จุด เพิ่มขึ้น 358.51 จุด หรือ 1.51% จากการทะยอยเปิดเศรษฐกิจของหลายประเทศและหลายรัฐของสหรัฐฯหลังจากที่ใช้มาตรการล็อกดาวน์ เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ขณะที่ยังเกาะติดการรายงานผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนและราคาน้ำมันดิบที่ยังอ่อนตัวลง

ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,878.48 จุด เพิ่มขึ้น 41.74 จุด, +1.47%

ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,730.16 จุด เพิ่มขึ้น 95.64 จุด, +1.11%

ในสหรัฐฯ รัฐจอร์เจีย โอกลาโฮมา และอลาสก้าเริ่มผ่อนคลายมาตรการให้กับภาคธุรกิจ แม้ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขเตือนว่าเปิดเศรษฐกิจเร็วเกินไป ส่วนนายแอนดรูว์ คูโม ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กเปิดเผยว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเปิดเศรษฐกิจในบางพื้นที่ โดยที่ต้องมีมาตรการด้านความปลอดภัย หลังวันที่ 15 พฤษภาคม ส่งผลให้นักลงทุนคาดหวังว่าจะมีการเปิดเศรษฐกิจเร็วขึ้น

ที่สเปนเมื่อวันที่ 26 เมษายน อนุญาตให้เด็กออกนอกบ้านได้แล้วเป็นครั้งแรกในรอบ 6 สัปดาห์ แต่ต้องมีผู้ใหญ่ดูแล และรัฐบาลเตรียมที่จะอนุญาตให้ผู้คนออกนอกบ้านมาเดินเล่นและออกกำลังกายในวันที่ 2 พฤษภาคม ขณะที่อิตาลีและเบลเยียมเตรียมการที่จะผ่อนคลายการล็อกดาวน์ในวันที่ 4 พฤษภาคม ส่วนฝรั่งเศสจะเริ่มผ่อนคลายวันที่ 11 พฤษภาคม

นายสตีเว่น มนูชิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า คาดว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวกลับมาหลังเดือนมิถุนายนหลังจากที่ยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์

แต่นักวิเคราะห์มองว่าแม้จะเปิดเศรษฐกิจเร็วขึ้น และไม่มีการระบาดรอบสอง แต่ก็ต้องใช้เวลา 6-12 เดือนกว่าทุกอย่างจะกลับมาปกติ และคาดการณ์กันว่าจีดีพีไตรมาสแรกจะหดตัว 4% จากระยะเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้กระทรวงพาณิชย์จะเผยตัวเลขวันที่ 29 เมษายนนี้ ซึ่งเป็นวันเดียวกับการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลาง(เฟด)

เฟดเปิดเผยว่าได้ขยายโครงการ เสริมสภาพคล่อง Municipal Liquidity Facilityที่มีวงเงิน 500 พันล้านดอลลาร์ให้ครอบคลุมตราสารหนี้ที่ออกโดยเขตเทศบาลและเมืองขนาดเล็ก

นักลงทุนยังเกาะติดการรายงานผลการดำเนินงานไตรมาสแรกของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งมี 122 บริษัทในดัชนี S&P 500 ซึ่งกำไรโดยรวมลดลง 22.7%

ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงเมื่อวานนี้โดยราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนมิถุนายนลดลง 4.16 ดอลลาร์ หรือ 24.6% ปิดที่ 12.78 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนมิถุนายนลดลง 1.45 ดอลลาร์ หรือ 6.8% ปิดที่ 19.99 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

หุ้นเจเนอรัล มอเตอร์เพิ่มขึ้น 2.3% หลังระงับการจ่ายเงินปันผลและซื้อคืนหุ้น เพื่อเก็บเงินสดไว้

หุ้นเทสลา เพิ่มขึ้น 10.2% หลังสำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า บริษัทได้แจ้งให้พนักงานบางส่วนที่โรงงานในรัฐแคลิฟอร์เนียเตรียมกลับเข้าทำงานภายในสัปดาห์หน้า

ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวก นำโดยกลุ่มรถยนต์เพิ่มขึ้น 4.6% นักลงทุนจับตาการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในหลายประเทศ และเกาะติดการประชุมของธนาคารกลางในหลายประเทศที่จะมีขึ้นในสัปดาห์นี้ ซึ่งคาดว่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดยการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐจะเริ่มขึ้นในวันที่ 29-30 เมษายนนี้ และธนาคารกลางสหภาพยุโรปเริ่มขึ้นวันที่ 30 เมษายน

เมื่อวานนี้ธนาคารกลางญี่ปุ่นประชุมนโยบายการเงินด้วยการขยายเพดานการซื้อพันธบัตรรัฐบาลและเพื่มการซื้อตราสารหนี้

บางรัฐในสหรัฐฯได้เริ่มผ่อนคลายการล็อกดาวน์ รวมไปถึงอิตาลี ฝรั่งเศส ได้เตรียมที่จะผ่อนคลายในเดือนหน้า แต่ในอังกฤษนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสันซึ่งกลับไปทำงานวันแรกหลังหายจากติดเชื้อยังไม่ประกาศ

อย่างไรก็ตามภาคเอกชนมองว่าแม้จะเปิดเศรษฐกิจ แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะกลับมาเป็นปกติ โดยกลุ่มโรงแรมอินเตอร์คอนระบุในเว็บไซต์ของบริษัท ว่า โรงแรมในสหรัฐและจีนมีอัตราการเข้าพักต่ำเพียง 20%

หุ้นดอยช์แบงก์เพิ่มขึ้น 10.7% หลังแจ้งกำไตรมาสแรกดีกว่าที่ตลาดคาด

ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 5,846.79 จุด เพิ่มขึ้น 94.56 จุด,+1.64%

ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 335.44 จุด ลดลง 5.85 จุด, +1.77%

ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,505.26 จุด เพิ่มขึ้น 111.95 จุด, +2.55%,

ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 10,659.99 จุด เพิ่มขึ้น 323.90 จุด, +3.13%

อ่านข่าว

ราคาน้ำมันดิบ WTI ดิ่ง 32% วิตกอุปทานล้นตลาด คลังเก็บใกล้เต็ม