JMART ดึง KB กลุ่มธุรกิจการเงินชั้นนำเกาหลีใต้ถือหุ้น “เจ ฟินเทค” 50.99%

HoonSmart.com>> บอร์ดเจมาร์ท ดึง KB Kookmin Card กลุ่มธุรกิจการเงินชั้นนำในประเทศเกาหลีใต้ เข้าถือหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิ รวม 50.99% ใน “เจ ฟินเทค” ซึ่งเป็นบริษัทย่อย มูลค่ากว่า 586 ล้านบาท คาดขั้นตอนจบมิ.ย.63 ชูพันธมิตรเชี่ยวชาญด้านการดำเนินงานทางการเงิน ฐานะการเงินแข็งแกร่ง ช่วยเสริมศักยภาพธุรกิจ

บริษัท เจมาร์ท (JMART) แจ้งว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 23 เม.ย.2563 มีมติอนุมัติการร่วมทุนในบริษัท เจ ฟินเทค จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยกับ KB Kookmin Card Co., Ltd. (KB) โดยให้บริษัทเข้าลงนามในสัญญาหลักเกี่ยวกับการเข้าทำธุรกรรม (Master Transaction Agreement) และสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้น (Shareholders Agreement) และอนุมัติให้เจ ฟินเทคเพิ่มทุนจดทะเบียนโดย KB จะเข้ามาถือหุ้นรวม 55,631,431 หุ้น หรือ 50.99% แบ่งเป็นสามัญ 46.99% และหุ้นบุริมสิทธิ 4%

ทั้งนี้ เจ ฟินเทค จะเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 556,536,900 บาท เป็น 1,112,851,210 บาท โดยออกหุ้นสามัญเพิ่มทุน 53,360,768 หุ้น และออกหุ้นบุริมสิทธิเพิ่มทุนจำนวน 2,270,663 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท เสนอขายให้ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้นทั้้งหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิ ที่ราคาหุ้นละ 11.68 บาท มูลค่ารวม 586.1 ล้านบาท แต่ JMART จะสละสิทธิในการจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนดังกล่าว แบ่งเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 48,112,168 หุ้น และหุ้นบุริมสิทธิเพิ่มทุนจำนวน 2,047,319 หุ้น รวม 50,159,487 หุ้น ให้แก่ KB ซึ่งไม่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องที่เข้าข่ายเป็นบุคคลที่เกี่ยวโยงกันกับบริษัท เพื่อให้ KB เข้าจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนทั้งหมดจำนวนรวม 55,631,431 หุ้น

ภายหลังจากการเพิ่มทุนเจ ฟินเทค JMART จะถือหุ้น 45.09% ของหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทย่อย ซึ่งมีสิทธิออกเสียงเท่ากับ 44.19% ของจำนวนสิทธิออกเสียงทั้งหมดของบริษัทย่อยและจะทำให้บริษัทย่อยไม่มีสถานะเป็นบริษัทย่อยของบริษัทอีกต่อไป และมีบริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย JAMART ถือหุ้นเหลือ 4.82% จากเดิมถือ 9.84%

ขณะเดียวกันภายหลังจากวันที่ KB ได้เข้าจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนแล้วเสร็จ (Closing Date) คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนมิ.ย.2563 และเมื่อรวมกับเงินกู้ยืมคืนจากบริษัทย่อย จำนวน 2,717.5 ล้านบาท รวมเป็นเงินจำนวน 3,303.6 ล้านบาท โดย KB จะชำระเงินค่าหุ้นเพิ่มทุนเต็มมูลค่าหุ้น ณ Closing Date และ KB และบริษัทย่อยจะดำเนินการหาสินเชื่อจากสถาบันการเงิน หรือผู้ให้สินเชื่อรายอื่นเพื่อนำมาทดแทนสัญญากู้ยืมเงินผู้ถือหุ้นในปัจจุบัน

ทั้งนี้ KB เป็นบริษัทย่อย 100% ของบริษัท KB Financial Group ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจการเงินชั้นนำในประเทศเกาหลีใต้ ธุรกิจหลักของ KB คือ ประกอบธุรกิจให้บริการบัตรเครดิต บริการทางการเงิน สินเชื่อ ลิสซิ่ง และบริการที่เกี่ยวข้องอื่นๆ

สำหรับประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการร่วมลงทุนครั้งนี้ บริษัทจะนำความรู้และเทคโนโลยีทางการเงินของ KB เข้ามาเพื่อเสริมสร้างธุรกิจ และกลุ่มบริษัทในระยะยาว จากการมีพันธมิตรในการดำเนินธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญด้านธุรกิจการเงิน ตลอดจนสามารถลดความเสี่ยงทางด้านการเงินในการดำเนินธุรกิจในอนาคตจากการที่จะได้รับชำระคืนเงินกู้ยืมจากบริษัทย่อย อีกทั้งบริษัทจะได้ทำ Synergy ร่วมกับบริษัทการเงินระดับโลก ในการดำเนินธุรกิจการเงินในประเทศไทย ซึ่งยังคงมีศักยภาพในการทำธุรกิจ สำหรับเงินที่บริษัทย่อยได้รับจากการเพิ่มทุน ก็จะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทย่อยในการดำเนินธุรกิจ

คณะกรรมการบริษัทฯ ยังเห็นว่า ขณะนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ได้คลี่คลายไปบางส่วนและมีแนวโน้มที่ดีขึ้นเรื่อยๆ จึงกำหนดวันประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2563 ในวันที่ 4 มิ.ย.2563 กำหนดให้วันที่ 8 พ.ค.2563 เป็นวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นเพื่อสิทธิเข้าร่วมประชุม โดยมีวาระแก้ไขรายละเอียดใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญครั้งที่ 3 (JAMART-W3) จากเดิมกำหนดไว้ที่ 14 บาทต่อหุ้นแก้ไขเป็น 11 บาทต่อหุ้น และ JMART-W4 จากเดิมกำหนดไว้ที่ 14 บาทต่อหุ้น และ 18 บาทต่อหุ้น แก้ไขเป็น 15 บาทต่อหุ้น รวมทั้งแก้ไขวันกำหนดใช้สิทธิครั้งแรกให้ครบกับวันทำการสุดท้ายของเดือนก.ย.2563 ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ยังเป็นไปตามที่ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมคณะกรรมการ เมื่อวันที่ 26 ก.พ.2563

นอกจากนี้มีมติอนุมัติกำหนดให้วันที่ 12 มิ.ย.2563 เป็นวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่จะมีสิทธิได้รับจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิหลังจากได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น

บริษัทจะนำเงินทุนที่ได้รับหากผู้ถือใบสำคัญแสดงสิทธิทุกรายใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญครบถ้วน ซึ่งคาดว่าจะได้รับเงินทุนประมาณ 2,600 ล้านบาท ไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับธุรกิจของบริษัทและช าระคืนเงินกู้ยืมที่จะครบกำหนดในอนาคต ทั้งนี้ในระหว่างปี 2564-2567 บริษัทจะมีเงินกู้ยืมครบกำหนดประมาณ 3,600 ล้านบาท