เสนอรัฐเปิดห้างฯ-ร้านอาหาร กระตุ้นเศรษฐกิจหลังปลดล็อก

HoonSmart.com>>ภาครัฐ-เอกชนประชุมนัดแรก ขานรับมาตรการรัฐ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย เสนอทำแอพพลิเคชั่นติดตามตัวเหมือนจีน-ศึกษาธุรกิจที่เปิดหลังเปิดประเทศ ของไทยแนะเปิดห้างสรรพสินค้า ร้านค้า ร้านอาหาร ปลดล็อกการทำงานผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ หุ้นบวกต่อ 8 จุด โอเปกพลัสมีมติลดกำลังการผลิตลง 9.7 ล้านบาร์เรล/วัน นาน 2 เดือน คาดราคาน้ำมันดิบขยับไม่เกิน 45 ดอลลาร์ PTTEP ได้ประโยชน์ บล.โนมูระฯเตือนตลาดยังมีความเสี่ยงไตรมาส 2 พอร์ตเหลือหุ้นเพียง 30-40%  เชียร์ ADVANC- AOT-CPALL-CPF-BEM-BDMS-HMPRO-KTC ปรับเป้าดัชนีปีนี้ 1,042 จุด บล.ดีบีเอสฯแนะเตรียมเงินสดไว้ช้อน

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยว่า วันที่ 13 เม.ย. 2563 ได้มีการประชุมครั้งแรกระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน หลังจากรัฐบาลมีการแต่งตั้งคณะที่ปรึกษาภาคเอกชนซึ่งประกอบด้วย 10 องค์กร ซึ่งหลักๆ เป็นการพูดคุยถึงมาตรการเยียวยาของรัฐบาลที่ออกมาแล้ว จำนวน 3 ชุด และมาตรการต่อไปที่จะต้องทำต่อไป ภาคเอกชนส่วนใหญ่มีความเห็นว่า มาถูกทางแล้ว แต่อาจจะไม่เพียงพอในบางจุด โดยเฉพาะจะทำอย่างไรให้การเลิกจ้างงานเกิดขึ้นน้อยที่สุด หลายประเทศ เยียวยาผู้ประกอบการเพื่อที่จะให้สามารถยังรักษาบุคคลากรไว้ได้โดยไม่จำเป็นต้องเลิกจ้าง เช่น ให้เงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายส่วนบุคคล โดยทางสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับเรื่องและจะนำเรื่องเสนอให้นายกรัฐมนตรีพิจารณา อีกทั้งยังมีการพูดคุยกันถึงภาคการท่องเที่ยวที่น่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุดและน่าจะกลับมาได้ช้าที่สุด

สภาธุรกิจตลาดทุนไทย เสนอเรื่องการสนับสนุนการทำงานผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ให้มีความสะดวกมากขึ้นและถูกกฎหมาย เช่น การประชุมคณะกรรมการบริษัทผ่านอิเล็กทรอนิกส์ ปัจจุบันกำหนดว่าหากคณะกรรมการไม่ได้อยู่ในที่เดียวกัน 1 ใน 3 ขององค์ประชุม ถือว่าผิดกฎหมาย ซึ่งอยากให้มีการปลดล็อก รวมถึงกรรมการต่างชาติที่ไม่สามารถเข้ามาในประเทศไทยได้ แต่มีการ VDO Conference ก็ไม่ถูกนับเป็นองค์ประชุม ทำให้ไม่มีสิทธิออกเสียง ทั้งนี้อยากจะใช้โอกาสนี้ยกระดับการทำธุรกรรมต่างๆ ผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์เกิดขึ้นได้เร็ว

ขณะเดียวกันยังได้เสนอให้มีการรับมือกับการปลดล็อกประเทศ โดยเสนอให้มีการทำแอพพลิเคชั่นติดตามตัวเช่นเดียวกันจีน เพื่อสร้างความสบายใจ และคัดกรองคนได้ รวมถึงการลำดับความสำคัญของการกลับมาเปิดดำเนินการของธุรกิจต่าง ๆ ในช่วงแรก โดยแนะว่าควรเปิดในธุรกิจที่มีความเสี่ยงน้อยก่อน เช่น ธุรกิจที่อิงกับปัจจัย 4 ต่างๆ เนื่องจากมีความสำคัญ และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น ห้างสรรพสินค้า ร้านค้า ร้านอาหาร แต่จะต้องกำหนดกติกาให้ชัดเจน เช่น การวัดไข้ ส่วนธุรกิจที่ควรจะอนุญาตเปิดช้าที่สุด คือ ธุรกิจที่อิงกับการรวมตัวกันของคนจำนวนมาก เช่น สถานบันเทิง ผับ บาร์ เป็นต้น

นายไพบูลย์กล่าวถึงมาตรการที่ภาครัฐได้ออกมาแล้วว่าอยากให้มีความยืดหยุ่นด้วย โดยเฉพาะการออก พ.ร.ก.โดยธนาคารแห่งประเทศไทย ทั้งการสนับสนุนสภาพคล่องเพื่อดูแลเสถียรภาพตราสารหนี้ภาคเอกชน วงเงิน 4 แสนล้านบาท และเงินกู้ซอฟท์โลนให้กับ SME วงเงิน 5 แสนล้านบาท อาจเป็นไปได้ยาก ซึ่งส่งผลทำให้การใช้เงินอาจจะไม่เกิดขึ้น

ด้านนางอรนุช อภิศักดิ์ศิริกุล นายกสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย กล่าวว่า ภาครัฐดูแลทุกภาคส่วนเพื่อไม่ให้เกิดการชะงักของกลไลของเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันบริษัทต่างๆ จะต้อง ปรับตัวให้มีความยืดหยุ่นมากพอ เมื่อเหตุการณ์คลี่คลายจะช่วยให้กลับมาได้เร็ว เพื่อคว้าโอกาส รวมถึงรักษาคุณภาพ สภาพจิตใจพนักงาน เพื่อให้มีจิตที่หึกเหิมพอหลังกลับมาทำงาน รวมถึงการลงทุนนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อให้มีโอกาสต่อยอดธุรกิจ และมีการเติบโตอย่างยั่งยืน

สำหรับราคาสินทรัพย์ต่างๆ บล.โนมูระพัฒนสินวิเคราะห์ว่า ที่ประชุมโอเปกพลัส มีมติปรับลดกำลังการผลิตลง 9.7 ล้านบาร์เรล/วัน ในเดือนพ.ค.-มิ.ย. (ลดลงจาก 10 ล้านบาร์เรล เนื่องจากเม็กซิโกปรับลดเพียง 1 แสนบาร์เรล จากที่ควรปรับลดอีก 3แสนบาร์เรล) ขณะที่มีสัญญาณว่าทางสหรัฐ แคนาดา และบราซิล จะช่วยกันลดเพิ่มอีก 3.7 ล้านบาร์เรล/วัน หนุนราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับตัวขึ้น  3.21% สู่ 32.84 เหรียญ/บาร์เรล เป็นบวกต่อกลุ่มพลังงาน และหนุนกรอบสมมติฐานราคาน้ำมันดิบปีนี้ขึ้นเล็กน้อยสู่ 33-45 เหรียญฯต่อบาร์เรล และภายใต้ ประมาณการกำไรต่อหุ้นใหม่ที่ 65.6 บาท/หุ้น ทีมกลยุทธ์จึงปรับดัชนีเป้าหมายปี 2563 ที่ 1042จุด คาดจะแกว่งในกรอบ 1300-790 จุด

ทีมกลยุทธ์ออกบทวิเคราะห์การลงทุนในไตรมาส 2 ภาพรวมยังไม่สดใสนัก ตลาดมีความเสี่ยงขาลงมากกว่า Upside จึงแนะนำลงทุนหุ้น/กองทุนตราสารทุนในระดับต่ำราว 30-40% ของพอร์ตลงทุน แนะนำกลุ่มที่ภาพในระยะ 3-5 ปี มีความเสี่ยงต่อการถูก Disrupt จำกัด มีฐานะการเงินแข็งแกร่งและเป็นธุรกิจที่พร้อมฟื้นตัวเร็ว แนะนำ ADVANC, AOT, CPALL, CPF, BEM, BDMS, HMPRO, KTC

บล.ดีบีเอสวิเคอร์ส(ประเทศไทย)แนะนำว่านักลงทุนควรจะเตรียมเงินไว้รอซื้อหุ้นเวลาปรับตัวลง  อย่างไรก็ตาม การลงทุนมีปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการของธนาคารกลางของสหรัฐ ญี่ปุ่น อียู และไทย รวมถึงบริษัทจดทะเบียนเปิดโครงการซื้อหุ้นคืนมากถึง 7.5 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นมากจากทั้งปีก่อนมีมูลค่าประมาณ 1.36 หมื่นล้านบาท

บล.หยวนต้า(ประเทศไทย) เปิดเผยว่า วันพรุ่งนี้ (14 เม.ย.) ช่วงเวลาประมาณ 19.30 น. ตามเวลาประเทศไทย ทางกองทุนการเงินระหวา่งประเทศ( IMF) จะเปิดเผยรายละเอียดประมาณการเศรษฐกิจโลกสำหรับปี 2563 คาดว่า จะมีการปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากประมาณการเดิมเมื่อเดือน ม.ค.ที่ +3.3%  เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในวงกว้าง

ด้านตลาดหุ้นวันที่ 13 เม.ย. ดัชนีเคลื่อนไหวในแดนลบ ก่อนจะตีกลับเป็นบวกและปิดที่ 1,236.78 +8.75 จุด +0.71 % แต่มูลค่าการซื้อขายเบาบาง 49,474 ล้านบาท มาจากสถาบันไทยซื้อ 2,031 ล้านบาท ส่วนต่างชาติขายหุ้น 2,065 ล้านบาท แต่ซื้อฟิวเจอร์ส 1,438 สัญญา