กนง.คาดศก.หดแรงเกินคาด 5.3% แบงก์รับลูกธปท.ช่วยลูกค้าพ้นวิกฤต

HoonSmart.com>>ช็อค! คณะกรรมการนโยบายการเงินคาดเศรษฐกิจปีนี้หดตัวถึง 5.3% ต่ำสุดตั้งแต่วิกฤตต้มยำกุ้งดิ่ง 7.3% ผิดคาด มติคงดอกเบี้ยนโยบาย 0.75% เตรียมกระสุนไว้ใช้ในอนาคต ธปท.ร่วมกับ 9 สถาบันการเงิน ช่วยเหลือลูกค้าดี ที่ได้รับผลกระทบจากไวรัส เลื่อนการชำระเงินต้น-ดอกเบี้ย ออกไป 3-6 เดือน ธนาคารไทยพาณิชย์รับลูกช่วยแล้วกว่า 1 แสนราย วงเงินกว่า 1.5 แสนล้านบาท นักวิเคราะห์เผยเป็นมาตรการที่ดีช่วยลดเอ็นพีแอล ช่วงสั้นกระทบรายได้ดอกเบี้ย-กำไร หุ้นไทยเด้งแรง 4.47% ตามต่างประเทศ บล.เอเซียพลัส ชวนซื้อหุ้นลงแรงเกินพื้นฐาน MCS-BAM-GULF-CPF-CPALL-INTUCH

การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)วันที่ 25 มี.ค. 2563 มีมติ 4 ต่อ 2 เสียง ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.75% โดยมองแนวโน้มเศรษฐกิจปีนี้หดตัวแรง 5.3% ก่อนจะกลับมาขยายตัว 3% ในปี 2564 ส่วนอัตราเงินเฟ้ออาจติดลบ 1% จากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 แพร่ระบาดรุนแรง ทำให้เศรษฐกิจหลายประเทศถดถอย ต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งกว่าจะเข้าสู่ภาวะปกติ

นายดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า การหดตัวของเศรษฐกิจเป็นภาวะชั่วคราว คาดว่าปีนี้การส่งออกจะลดลง -8.8% แต่จะกลับมาขยายตัวได้ 0.2% ในปีหน้า การบริโภคภาคเอกชนคาดว่าจะลดลง -1.5% ก่อนจะขยายตัว 2.1% เช่นเดียวกันการลงทุนภาคเอกชนคาดจะลดลง -4.3% แต่จะค่อยกลับมาฟื้นตัวขึ้นในปีหน้า 2.2% ประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยว  15 ล้านคน และเพิ่มเป็น 20 ล้านคน แม้การใช้จ่ายลงทุนภาครัฐ จะขยายตัวได้ 5.8% แต่ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้ คาดราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ย 35 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และ 34 เหรียญสหรัฐในปีหน้า

“กนง. มองว่าเศรษฐกิจปีนี้ จะหดตัว -5.3% จากภาคการส่งออกสินค้าและบริการ และการท่องเที่ยวเป็นสำคัญ ในช่วงนี้นักท่องเที่ยวเข้ามาเพียง 1,000 คน หายไป 90 % จาก 1 แสนคน และแทบจะไม่การจองโรงแรมเข้ามาเลยในช่วง 3 เดือนข้างหน้า “นายดอนกล่าว

บล.เอเซียพลัสวิเคราะห์ว่า การปรับลดเป้าหมายเศรษฐกิจหดตัว 5.3% ถือเป็น Negative suprise ต่อตลาดหุ้น  สวนทางกับมติดอกเบี้ยทรงตัวที่ 0.75% คาดเอกชนจะมีการปรับลดประมาณการจีดีพีอีกครั้ง และ กนง. จะสามารถลดดอกเบี้ยได้อีกอย่างน้อย 1 ครั้งหรือลงได้อีก 0.25%

ด้านนายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แถลงมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ยังไม่เป็น NPL ที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.2563  โดยร่วมกับ 19 สถาบันการเงินในการผ่อนภาระลูกหนี้ ทั้งสินเชื่อบ้าน เอสเอ็มอี (SMEs) บัตรเครดิต สินเชื่อเช่าซื้อ (ลิสซิ่ง) รถมอเตอร์ไซค์-รถทุกประเภท พร้อมพิจารณาลดดอกเบี้ยให้ตามความเหมาะสม เช่น กรณีลิสซิ่ง ให้ผู้ให้บริการเลือกว่าจะเลื่อนการชำระเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นระยะเวลา 3 เดือน หรือพักชำระหนี้เงินต้นเป็นระยะเวลา 6 เดือน

สำหรับลูกค้าที่ไม่ได้รับผลกระทบ ก็ขอให้ชำระเงินตามปกติ และสถาบันการเงินจะมีสิ่งจูงใจให้ผ่อนชำระ เชื่อมั่นว่ามาตรการเหล่านี้จะลดภาระให้พี่น้องประชาชน และธุรกิจ SMEs ได้มาก ในภาวะที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่เคยเจอมาก่อน

ธนาคารไทยพาณิชย์เปิดเผยว่า กำลังร่วมกับธปท.ช่วยเหลือลูกหนี้ระยะสั้น และเร่งพิจารณาคำร้องของลูกค้าทุกคนโดยไม่มีวันหยุดทำการ ล่าสุดได้ให้ความช่วยเหลือลูกค้าแล้วกว่า 1 แสนราย วงเงินกว่า 1.5 แสนล้านบาท  เช่น บัตรเครดิต ธนาคารฯ จะปรับลดอัตราผ่อนชำระขั้นต่ำให้ลูกค้าทุกคน ส่วนสินเชื่อบ้าน วงเงินไม่ถึง 3 ล้านบาท หากต้องการจะขอพักเงินต้นเป็นเวลา 4 เดือน ติดต่อยื่นคำร้องได้ทุกช่องทาง เช่นเดียวกับลูกค้าสินเชื่อ SME ที่อยู่ภายใต้วงเงินสินเชื่อไม่เกิน 20 ล้านบาท

นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล. ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า มาตรการของธปท. จะส่งผลกระทบต่อรายได้ดอกเบี้ย และสภาพคล่องของกลุ่มแบงก์และกลุ่มผู้ให้บริการสินเชื่อ เนื่องจากไม่มีเงินต้นเข้ามา แต่ถือว่ามีดีกว่าไม่มี เพราะมีแนวโน้มว่าลูกหนี้จะกลายเป็น NPLs สูงมาก และมาตรการนี้จะยังคงรักษาลูกหนี้ไว้ได้ หากสถานการณ์กลับมาฟื้นตัวดีขึ้น ทั้งนี้ บล.ยูโอบีฯยังไม่มีการปรับประมาณการกำไรของกลุ่มแบงก์และกลุ่มที่ให้บริการสินเชื่อ ขอเวลาประเมินผลกระทบก่อน

นางวิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก กล่าวว่า มาตรการนี้เป็นผลดี รายได้ดอกเบี้ยและเงินต้นจะไม่หายไปไหน หากสถาการณ์กลับมาฟื้นตัวดีขึ้นก็ยังเข้ามา แต่ในช่วงนี้ สถาบันการเงินมีค่าใช้จ่าย รายได้ไม่เข้ามา รวมภาวะเศรษฐกิจหดตัว ทำให้กำไรของกลุ่มแบงก์และกลุ่มให้บริการสินเชื่อจะถูกปรับประมาณการลดลงแน่นอน

ส่วนการซื้อขายหุ้นวันที่ 25 มี.ค. ดัชนีปรับตัวขึ้นแรงตามตลาดต่างประเทศ  ปิดที่ระดับ 1,080.03 จุด +46.19 จุดหรือ 4.47% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 74,952.24 ล้านบาทมาแรงซื้อของสถาบัน 4,524 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ดัชนีขึ้นไทยปรับตัวขึ้นน้อยกว่าตลาดหลายแห่ง รับข่าวดีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและลดผลกระทบโควิต โดยเฉพาะสหรัฐ มั่นใจว่าจะผ่านไปได้ด้วยดี เดโมแครตและริพับลิกันจะสามารถบรรลุข้อตกลงกันได้

บล.เอเซียพลัสประเมินในช่วง 1-2 วันนี้ ตลาดสหรัฐปรับตัวขึ้นแรง 2,000 จุด  ส่วนตลาดหุ้นเกิดใหม่ เช่นไทยปรับตัวขึ้นไม่มาก  นักลงทุนควรมองเป็นโอกาส มีหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่งที่ปรับฐานลงมาแรงกว่าปัจจัยพื้นฐานมาก เช่น MCS, BAM, GULF จึงแนะนำทยอยเข้าสะสมสำหรับนักลงทุนที่รับความผันผวนหรือความเสี่ยงได้มาก รวมถึงยังมีหุ้นที่น่าสะสม คือ หุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง ผันผวนน้อย อย่าง CPF, CPALL และ INTUCH

อ่านประกอบ

ASP ชวนซื้อหุ้นลงแรงเกินพื้นฐาน MCS-BAM-GULF-CPF-CPALL-INTUCH

ธปท.สั่งพักหนี้ 3-6 เดือน ลิสซิ่ง-บัตรเครดิต-สินเชื่อบ้าน-SME