HoonSmart.com>> ครม.เศรษฐกิจอนุมัติมาตรการบรรเทาผลกระทบไวรัสโควิด ผู้ประกอบการได้ 4 มาตรการการเงิน 4 มาตรการภาษี ส่วนประชาชนแจกเงินผู้มีรายได้น้อย 1,000 บาท ไม่เกิน 2 เดือน กองทุน SSF ปรับเกณฑ์ให้ลงทุนหุ้นมากกว่า 65% เฉพาะกองที่เปิดขายภายในเดือน มิ.ย. 63 ถือหน่วยลงทุน 10 ปีตามเดิม รายละเอียดรอเข้าครม.อังคารนี้ บล.หยวนต้ามองผลตอบรับเป็นกลางเชิงลบต่อหุ้น กว่าเงินจะเข้าระบบเดือนเม.ย.นานกว่าที่คาด ดาวโจนส์ร่วงต่อ โอเปกคุยไม่ลงตัว ราคาน้ำมันดิ่ง 10% กระทบกลุ่มพลังงานเต็มเปา
นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง แถลงภายหลังการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) วันที่ 6 มี.ค. 2563 ว่า มีมติอนุมัติมาตรการบรรเทาผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ในส่วนผู้ประกอบการจะมี 4 มาตรการการเงิน และ 4 มาตรการภาษี ขณะที่ความช่วยเหลือให้กับประชาชนจะมีการให้เงินสำหรับการใช้จ่ายแก่ผู้มีรายได้น้อย เกษตรกร และผู้ประกอบอาชีพอิสระ เดือนละ 1,000 บาท ไม่เกิน 2 เดือน รวมทั้งลดภาระค่าใช้จ่าย ได้แก่ ค่าน้ำ ค่าไฟ เป็นต้น เม็ดเงินช่วยเหลือเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ เม.ย. 2563 รัฐบาลคาดเศรษฐกิจไตรมาส 1 ชะลอต่อเนื่องจากไตรมาส 4/2562
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังไม่ถึงจุดสูงสุด และส่งผลกระทบรุนแรงทั่วโลก ในทุกภาคส่วน ดังนั้น กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงได้เสนอมาตรการบรรเทาผลกระทบชุดที่ 1 โดยยืนยันว่าจะระมัดระวังการใช้จ่ายเงิน และให้ครอบคลุมทุกภาคส่วน นอกจากนี้ได้สั่งการให้ กระทรวงการคลัง ไปหารือกับสำนักงบประมาณ เพื่อจัดตั้งกองทุนเพื่อใช้ในภาวะวิกฤตต่างๆ ด้วย
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล เลขา ครม.เศรษฐกิจ กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจในเดือน ม.ค.เติบโตต่ำกว่าปกติในหลายด้าน ส่งผลต่อเนื่องถึงไตรมาส 1 และทั้งปี 2563 จากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ขยายความรุนแรงมากขึ้น จากเดิมคาดว่าจะจบได้ภายใน 3 เดือน ประเมินใหม่จะจบได้ภายใน 6 เดือน และกว่าจะสร้างความมั่นใจต้องใช้เวลาอีก 3 เดือน คาดว่าเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวได้ในปลายไตรมาส 3 ถึงต้นไตรมาส 4 แต่ยังต้องติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด
นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แถลงภายหลังร่วมประชุมในครม.เศรษฐกิจว่า การสร้างความเชื่อมั่นในตลาดทุนนั้น ก.ล.ต.ได้เสนอกรอบมาตรการให้กระทรวงการคลังพิจารณาแล้ว โดยเป็นมาตรการเฉพาะชั่วคราว จากกรอบของกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) ซึ่งจะมีการแบ่งวงเงินลงทุนใหม่เพิ่มเติมสำหรับการลงทุนในหุ้นได้มากกว่า 65% เฉพาะกองที่เปิดขายภายในเดือน มิ.ย. 2563 สะท้อนความจำเป็นเร่งด่วนในส่วนนี้ ขณะที่ระยะถือครองหน่วยลงทุนยังคงเป็นไปตามกรอบเดิม 10 ปี ส่วนเรื่องของวงเงินลดหย่อนภาษีจะมีการหารือกันต่อไป
ทั้งนี้จะมีการเสนอครม.ในวันที่ 10 มี.ค.นี้ ก่อนที่จะมีการออกกฎกระทรวงมีผลบังคับใช้ต่อไป ซึ่งจะมีรายละเอียดของเม็ดเงินและภาษีที่จะลดหย่อนให้กับกองทุน SSF ก่อนหน้านี้นักลงทุนคาดหวังการผ่อนปรนกองทุน SSF ว่าจะลดระยะเวลาการถือครองหน่วยลงทุนลงมาเป็น 7 ปีปฎิทิน เหมือนเกณฑ์ LTF ก่อนหน้านี้
บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า ด้วยกรอบเวลาในการกระจายเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจจะเริ่มเดือน เม.ย. ที่จะถึงนี้ ซึ่งนานกว่าที่บล.หยวนต้าประเมินว่าจะเริ่มได้ทันที จึงมองเป็นกลางเชิงลบต่อดัชนีหุ้น
ทางด้านตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยเฉพาะดัชนีดาวโจนส์ วันที่ 6 มี.ค. 2563 ยังคงปรับตัวลงแรง ก่อนปิดที่ 25,864.78 จุด ลดลง 256.50 จุด หรือ 0.98% นักลงทุนหันไปหาสินทรัพย์ปลอดภัย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ลดลงไปที่ 0.7% ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ราคาทองคำสูงสุดตั้งแต่ปี 2016
ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนเมษายนลดลง 4.62 ดอลลาร์ หรือ 10.07% ปิดที่ 41.28 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนพฤษภาคมลดลง 4.72 ดอลลาร์ หรือ 9.44% ปิดที่ 45.27 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากที่ประชุมกลุ่ม OPEC กับพันธมิตรไม่มีข้อสรุป เพราะรัสเซียไม่เห็นด้วยกับแผนที่ซาอุดิอาราเบียให้ลดกำลังการผลิตลงอีก
ส่วนหุ้นไทยยังคงปรับตัวลงแรง ดัชนีปิดที่ระดับ 1,364.57 จุด -26.26 จุด หรือ -1.89% มูลค่าการซื้อขาย 52,201.99 ล้านบาท เกิดจากนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 3,435 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 1,256 ล้านบาท นักลงทุนในประเทศซื้อสุทธิ 4,800 ล้านบาท
ภาวะตลาดในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2563 กลุ่มผู้ซื้อ LTF ที่ครบกำหนดอายุ และสามารถไถ่ถอนได้ (ปี 2548 -2558) ได้ขายสุทธิออกมากว่า 5.3 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นเดือน ม.ค. จำนวน 1.36 หมื่นล้านบาท เดือน ก.พ. ขายมากถึง 3.9 หมื่นล้านบาท กดดันให้ตลาดหุ้นไทยปรับฐานแรงมากที่สุดเป็นอันดับที่ 7 ของโลก (ข้อมูลจาก Bloomberg เปรียบเทียบดัชนีทั้งหมดทั่วโลก 94 ประเทศ)
