HoonSmart.com>>ดาวโจนส์พุ่งแรง 1,300 จุด จุดพลุหุ้นไทยทะยานมากกว่า 2% ฝีมือสถาบันไล่ซื้อ 8,888 ล้านบาท ต่างชาติขายต่อ รวม 2 วันมากกว่า 9,651 ล้านบาท ซื้อฟิวเจอร์ส 21,996 สัญญา ฝากความหวังรัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจ ธนาคารกลางทั่วโลกจับมือIMF ธนาคารโลกกอบกู้วิกฤต คาดเฟดกดดอกเบี้ยลงพรวดเดียว 0.50% มาเลเซียลงแล้ว 0.25% คาดไทยหนีไม่พ้น บล.เอเซียพลัส หั่นเป้าหมายดัชนีสิ้นปีเหลือ 1,455 จุด นักวิเคราะห์แนะซื้อหุ้นที่ราคาลงลึก บล.โนมูระพัฒนสิน แนะ 10 ตัวใน SET 100 บล.ดีบีเอสฯเน้นท่องเที่ยว AOT-MINT-ERW-SPA “พวรรณ์ “แห่งวายแอลจี คาดความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยยังมีอยู่ต่อไป นักวิเคราะห์ปรับเป้าปลายปี 1,800-1,850 ดอลลาร์
3 มี.ค.63 ตลาดหุ้นเอเชียเปิดบวกตามดาวโจนส์ แต่สุดท้ายมีทั้งบวกและลบ ดัชนี NIKKEI 225 ติดลบ 261 จุดหรือ 1.22% ฮ่องกงลงเล็กน้อย 6.86 จุด สวนหุ้นไทยสุดยอด ปิดเกือบจุดสูงสุดที่ระดับ 1,375.02 จุด บวกแรง 39.30 จุด คิดเป็น 2.94% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 70,048 ล้านบาท นำโดยหุ้นพลังงาน ดัชนีบวก 3.96% หลังจากราคาน้ำมันดิบฟื้นกลับมา รับข่าวธนาคารกลางทั่วโลกร่วมมือกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(IMF) และธนาคารโลกในการออกมาตรการ เพื่อลดผลกระทบไวรัสโควิด-19 กลุ่มประเทศ G-7 จะหารือสัปดาห์นี้ คาดกลุ่มโอเปกและพันธมิตรลดการผลิตเพิ่มถึง 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน นานจนถึงสิ้นปีนี้ ในการประชุมวันที่ 5-6 มี.ค.นี้
นอกจากนี้หุ้นกลุ่มพาณิชย์เพิ่มขึ้นกว่า 4% คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
ธนาคารกลางมาเลเซียประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% สู่ระดับ 2.5% ในการประชุมวันที่ 3 มี.ค. เพื่อรับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่กำลังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลกในขณะนี้
ตลาดหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมาแรงเกินคาด นักกลยุทธ์แนะนำให้ขายทำกำไรระหว่างทาง เนื่องจากคาดว่าราคาหุ้นดีดกลับระยะสั้น เศรษฐกิจยังคงปรับตัวลง ส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) โดยฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส (ASP) ปรับลดเป้าหมายดัชนีหุ้นปลายปีนี้อยู่ที่ระดับ 1,455 จุด จากเดิมที่เคยประเมินไว้ที่ 1,579 จุด หากตลาดกลับมาซื้อขายกันบน Market Earning Yield Cap แบบอนุรักษ์นิยมที่ระดับ 5% (ค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 4.28%) ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอยู่ในระดับต่ำมาก
ฝ่ายวิจัย ASP ได้รวบรวมตัวเลขกำไรของบจ.งวดปี 2562 แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ เกือบครบแล้ว คิดเป็น 98% ของมูลค่าตลาดรวม มีกำไรสุทธิ 9.39 แสนล้านบาท ลดลง 3.3% จากปีก่อน ซึ่งใกล้เคียงกับฝ่ายวิจัยฯประเมิน แต่ความกังวลต่อเศรษฐกิจชะลอตัวลง จึงต้องปรับประมาณการกำไรบจ.ปี 2563 ลงอย่างมีนัยสำคัญ กลุ่มหลักๆ ที่ถูกปรับลดประมาณการกำไร ได้แก่ กลุ่มพลังงาน-ปิโตรเคมี (PTT,PTTGC ,IVL, TOP, BANPU) รวมกำไรที่ปรับลงราว 6.1 หมื่นล้านบาท ถูกกดดันจากสเปรดปิโตรเคมีที่อยู่ระดับต่ำ
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ แนะนำว่า เดือนมี.ค.เป็นโอกาสที่น่าเข้าสะสมหุ้น โดยเฉพาะลงทุนระยะยาว เพราะปรับลงมาซื้อขายที่อัตราราคาต่อกำไร (พี/อี) ปีนี้ที่ 14 เท่า ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยตั้งแต่ปี 2549 ที่ 13.8 เท่า หากใช้พี/อีที่ 13.8 เท่า ดัชนีที่เหมาะสมอยู่ที่ 1,310 จุด
การเลือกลงทุนมี 4 ธีม ได้แก่1 ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (IFF) อัตราเงินปันผลสูง แต่แนะนำให้กระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศด้วยเพื่อแก้เรื่องสภาพคล่อง 2. กลุ่มบริหารสินทรัพย์ (AMC)ที่มีโอกาสเข้าซื้อสินทรัพย์ราคาถูก ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง แนะนำบริษัท บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ (BAM) บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) และบริษัท ชโย กรุ๊ป (CHAYO ) 3. กลุ่มอาหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) น่าสนใจ และ 4. กลุ่มที่อิงการลงทุนภาครัฐ ได้แก่ บริษัท ช.การช่าง (CK)
นอกจากนี้แนะนำเก็งกำไรหุ้น บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียมหรือปตท.สผ. (PTTEP) คาดหวังได้รับอานิสงส์จากการปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปก ทำให้ราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นในช่วงสั้นได้
“ตลาดให้น้ำหนักว่าเฟดและกนง.จะลดดอกเบี้ยลงในการประชุมครั้งนี้ หากดอกเบี้ยไทยลงจริง ทำให้อัตราดอกเบี้ยแท้จริงติดลบ ส่งผลดีต่อหุ้น เพียงแต่ในระยะสั้น ตลาดหุ้นอาจจะยังคงมีความผันผวนจากปัจจัยแวดล้อมที่มีความไม่แน่นอนในระดับสูง”นายณัฐชาต กล่าว
ด้านนางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า หุ้นสหรัฐที่ดีดกลับขึ้นมาแรงมากกว่า 1,300 จุด ไม่ได้ทำให้การลงทุนในทองคำหมดรอบ เพราะความเสี่ยงเรื่องเศรษฐกิจจะถดถอยยังมีต่อไป นักลงทุนต้องเข้าไปหลบในสินทรัพย์ปลอดภัย คือ เงินดอลลาร์สหรัฐ เงินเยนญี่ปุ่นและทองคำ โดยปกตินักลงทุนจะจัดพอร์ตลงทุนในทองคำไม่เกิน 30% ส่วนใหญ่ยังเป็นหุ้น
แนวโน้มราคาทองยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง นักวิเคราะห์ต่างประเทศรายใหญ่ได้ปรับเป้าหมายใหม่ ครั้งแรกประเมินว่าสิ้นปีนี้อยู่ที่ 1,600-1,650 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ เพิ่มเป็น 1,700 ดอลลาร์ ตอนนี้มีโอกาสเห็น 1,800-1,850 ดอลลาร์ แต่ระหว่างทางมีการปรับฐานทำกำไรทุกครั้งที่ปรับขึ้น 30-50 ดอลลาร์ เช่น วันศุกร์ที่ผ่านมา(28 ก.พ.63) ลงแรง
กลยุทธ์การลงทุน สัปดาห์ที่แล้วอยู่ที่ 1,692 ดอลลาร์เป็นแนวต้านใหญ่ แนวรับเคยประเมินไว้ 1,550 จุดน่าจะเป็นจุดทยอยเข้าไปได้ ยกเว้นว่ามีปัจจัยอื่นเข้ามาทำให้ราคา ไม่น่าสนใจในระยะสั้นๆ แนวรับใหญ่สุดที่ 1,450 ดอลลาร์