คอลัมน์แน่งน้อยร้อยเรื่องลงทุน : กลุ่มปตท.น่าช้อป? กำไรรวม 1.62 แสนล้าน -25% ปี 62

HoonSmart.com>>กลุ่ม ปตท. มีบริษัทอยู่ในตลาดหุ้นจำนวน 6 บริษัท ผลงานในปี 2562 ออกมาไม่น่าประทับใจ ทั้งกลุ่มมีกำไรสุทธิ 162,599 ล้านบาท ลดลง 54,566 ล้านบาท คิดเป็นจำนวน 25.13% จากที่มีกำไรสุทธิ 217,165 ล้านบาทในปี 2561

นักวิเคราะห์ทยอยปรับลดประมาณการกำไรของบริษัทปตท.(PTT) และบริษัทในเครือในปี 2563 แต่ส่วนใหญ่ยังคงมีกำไรเติบโตกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากเปรียบเทียบกับฐานที่ต่ำ และคงไม่มีขาดทุนสต็อก ส่วนธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมีน่าจะผ่านสถานการณ์ย่ำแย่ไปแล้ว ขณะที่ราคาหุ้นไหลลงมามาก เกิดคำถามว่าควรมองเป็นโอกาสในการเลือกซื้อลงทุนได้แล้วยัง

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังคงแนะนำให้ “ซื้อ” PTT,PTTEP,GPSC,TOP และ “ถือ PTTGC -IRPC  โดยให้ราคากลาง 51 บาท 142.50 บาท 82 บาท 69 บาท 58 บาท และ 3.50 บาทตามลำดับ

บล.เอเซียพลัส คาดว่าจะปรับลดประมาณกำไรของบริษัทปตท.ลง 1.16 หมื่นล้านบาทในปี 2563  จากกำไรจากการดำเนินงานยังคงเติบโต 2.5% ภายใต้สมมุติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 65 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จาก 61.7 เหรียญสหรัฐในปีที่ผ่านมา ไตรมาส 1 กำไรจะลดลงจากไตรมาส 4 ที่ผ่านมา ตามธุรกิจโรงแยกก๊าซที่หยุดซ่อมบำรุงครั้งใหญ่ ราคาขายมีแนวโน้มลดลงตามราคาปิโตรเคมีขั้นปลาย ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทลูกโรงกลั่นและปิโตรเคมีที่ลดลง

“ยังคงแนะนำให้ซื้อ PTT  ให้ราคาเป้าหมาย 55 บาท เชื่อราคาหุ้นผ่านการปรับฐานสะท้อนผลกระทบเชิงลบตามอุตสาหกรรมพลังงานไปแล้วระดับหนึ่ง  บริษัทจะจ่ายเงินปันผลอีก 1.10 บาท/หุ้นจากผลงานครึ่งหลังปี 62  คิดเป็นอัตราผลตอบแทนถึง 2.5%  รวมทั้งปี 2562 จ่ายปันผล 2 บาท เป็นเงินทั้งสิ้น 57,126 ล้านบาท คิดเป็นอัตราประมาณ 62.5% ของกำไร”

นอกจากนี้ นักวิเคราะห์บล.ทรีนีตี้ให้ราคาเป้าหมาย 60 บาท บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) ให้ราคาเป้าหมาย 52 บาท/หุ้น บล.ทิสโก้ แนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 43 บาท

ปตท.มีแนวโน้มผลกำไรที่ดีขึ้น  จากผลงาน PTTEP, GPSC , IRPC  และยังจะได้รับผลดีจากการนำบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR) เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในปีนี้

“กัญญามาส ฤทธิเดช” ผู้จัดการฝ่ายการเงินและนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัทไออาร์พีซี (IRPC) ให้ข้อมูลแก่นักลงทุน คาดว่ากำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่ม (GIM) จะสูงกว่าปีก่อน ได้รับอานิสงส์จากเกณฑ์ใหม่ให้เรือเดินสมุทรใช้น้ำมันกำมะถันต่ำ 0.5% จากเดิม 3.5% มีผลตั้งแต่ต้นปี 2563  บริษัทผลักดันยอดขายผลิตภัณฑ์เกรดพิเศษเพิ่มจาก 55% เป็น 60%  และเพิ่มการผลิตน้ำมัน 2.15 แสนบาร์เรล/วัน จากปีก่อนอยู่ที่ 1.9 แสนบาร์เรล/วัน โดยราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นมาอยู่ในกรอบ 60-65 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล จากช่วงครึ่งปีแรกคาดทรงตัว 58-59 เหรียญสหรัฐฯ

ส่วนในปี 2564 จะเริ่มการขายที่ดินและเริ่มมีการรับรู้รายได้จากการพัฒนาโครงการนิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดระยอง จำนวน 2,152 ไร่ ร่วมกับบริษัทดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA)

ทางด้านบริษัท ไทยออยล์ (TOP) “วิรัตน์ เอื้อนฤมิต ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ คาดแนวโน้มกำไรของปี 2563 ขึ้นอยู่กับอัตรากำไร ซึ่งอาจจะถูกกระทบทางอ้อมบ้างจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19  ความต้องการน้ำมันลดลง แต่เริ่มมีสัญญาณว่ากลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และพันธมิตร เสนอปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันลง ช่วยพยุงราคาน้ำมัน น่าจะช่วยให้มาร์จิ้นดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา

นักลงทุนที่สนใจหุ้นครอบครัว จะต้องตามติดสถานการณ์ไวรัสโคโรน่า (โควิด-19) และการประชุมของโอเปก ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 5-6 มี.ค.นี้ ว่าจะยอมลดกำลังการผลิตน้ำมันเพิ่มอีก 6 แสนบาร์เรล/วัน หรือไม่ แต่ที่แน่ๆ พื้นฐานของหุ้นกลุ่มนี้แข็งแรง  จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ และปรับตัวตลอดเวลาเชื่อว่าจะสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วได้

อ่านข่าว

PTT หวังกำไรดีขึ้นปี’ 63 ปันผลสูง-ทุ่มลงทุนดันจีดีพี