HoonSmart.com>>”ทริสเรทติ้ง”พุ่งเป้า 3 ธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์,ไฟฟ้าขนาดเล็ก,สินเชื่อรายย่อย เจอแรงกดดันเพิ่มขึ้น หากไม่ปรับตัว 6-12 เดือนมีสิทธิถูกลดเรทติ้ง แนะทางออกเข้าหาแบงก์ใช้สินเชื่อ เตรียมแหล่งเงินล่วงหน้า 6 เดือนก่อนหุ้นกู้ครบอายุ ขายทรัพย์สินลดภาระหนี้ แฉบจ.ใน SET 50 ก่อหนี้สูง 5-6 เท่าของอีบิทดา เทียบภูมิภาค 2-3 เท่า ภาษีสหรัฐมีผลตรงลูกค้า 225 รายจิ๊บจ๊อย 7 บริษัท TU, CPF, BTG,STA, STGT, TEGH,SNC ส่งออก กระทบแค่ 4.4%ของรายได้รวม 1 ล้านล้านบาทปี 67

นางสุชาดา พันธุ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานจัดอันดับเครดิต บริษัท ทริสเรทติ้ง เปิดเผยว่า สถานการณ์เศรษฐกิจและความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นกู้ ทำให้ต้องติดตามความเคลื่อนไหวของบริษัทที่ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงบริษัทไฟฟ้าขนาดเล็ก และบริษัทที่ดำเนินธุรกิจสินเชื่อรายย่อย เพราะกำลังเผชิญกับแรงกดดันด้านเครดิตที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการก่อหนี้สูง ขณะที่ธุรกิจขายบ้านยากขึ้น จะต้องพิจารณาหยุดลงทุนก่อสร้างเช่น คอนโดมิเนียม
ส่วนธุรกิจไฟฟ้าขนาดเล็กมีการออกไปลงทุนต่างประเทศค่อนข้างมาก และมีการผลิตไฟขายให้กับกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีมาร์จิ้นต่ำ สำหรับสินเชื่อรายย่อย มีการขายหุ้นกู้ได้ไม่หมดตามจำนวนที่ต้องการเพื่อนำไปรีไฟแนนซ์หุ้นกู้ชุดเดิม และยังได้รับผลกระทบจากปัญหาหนี้ครัวเรือนและเศรษฐกิจตกต่ำ
” ภาวะเช่นนี้ ผู้ประกอบการจะต้องเข้าหาธนาคารพาณิชย์ ใช้สินเชื่ออีกทางหนึ่ง และจะต้องเตรียมความพร้อมเรื่องเงินทุนล่วงหน้าก่อนที่หุ้นกู้จะครบอายุ อย่างน้อย 6 เดือน เพื่อที่จะมีทางออก หากไม่สามารถขายหุ้นกู้ได้ตามที่ต้องการ หรือจะต้องหาแนวทางในการลดภาระหนี้ เช่น การเลือกขายทรัพย์สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หากไม่ทำอะไรเลย ในช่วง 6-12 เดือนนี้ จะมีความเสี่ยงเรื่องเรทติ้งอาจจะลดลง”นางสุชาดากล่าว
ปัจจุบันมีบริษัทจำนวน 5 รายขอยืดการชำระหนี้หุ้นกู้ เช่น บริษัทพลังงานบริสุทธิ์(EA) ที่อยู่ระหวางการแก้ไข บริษัท สหกลอิควิปเมนท์ (SQ) บริษัท แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ (GRAND) ที่พยายามขายทรัพย์สินซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย
สำหรับภาพรวม บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์(บจ.)ในกลุ่ม SET 50 มีการก่อหนี้สูงมาก สัดส่วน 5-6 เท่าของอีบิทดา และส่วนใหญ่ดำเนินธุรกิจแบบเก่า บริษัทพลังงานน้ำมัน อสังหาริมทรัพย์ ขณะที่บจ.ขนาดใหญ่ในภูมิภาคมีการก่อหนี้ 2-3 เท่าเท่านั้น
เมื่อวันที่ 15 ก.ค.2568 S&P Global Ratings และ บริษัท ทริสเรทติ้ง ร่วมจัดสัมมนา “Thailand Credit Spotlight 2025: Navigating Global Trade Shifts” เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจ แนวโน้มทางธุรกิจ อันดับเครดิตประเทศ ตลอดจนความท้าทายและโอกาสของภาคธุรกิจจากการเปลี่ยนแปลงด้านการค้าและห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกในปัจจุบัน โดย
นางสุชาดาคาดว่าการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ออกตราสารหนี้ภาคเอกชนในวงจำกัด ส่วนใหญ่อยู่ใน 3 อุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ อาหารแปรรูป รวมถึงอาหารทะเลและอาหารสัตว์เลี้ยง (TU, CPF, BTG) ผลิตภัณฑ์จากยางพารา (STA, STGT, TEGH) และ 3) อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า (SNC)ซึ่งมีสัดส่วนน้อยกว่า 5% ของผู้ออกตราสารหนี้ทั้งหมด 225 รายที่ทริสจัดอันดับเครดิตเรทติ้งให้ กลุ่มนี้มีรายได้รวมกันคิดเป็นประมาณ 1 ล้านล้านบาทในปี 67 แต่มีรายได้จากการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ คิดเป็นเพียงประมาณ 5-6% เท่านั้น และประมาณ 4.4% คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีโดยตรง
แม้ว่าความเสี่ยงจากภาษีโดยตรงยังคงมีจำกัด แต่ทริสมองว่าความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจมหภาคในภาพรวมอาจเป็นประเด็นที่น่ากังวลมากกว่า โดยเฉพาะการบริโภคภายในประเทศที่อ่อนแอ ประกอบกับโอกาสในการเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) ซึ่งอาจส่งผลให้การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI)และการลงทุนในภาคเอกชนลดลงนั้นอาจเป็นปัจจัยกดดันผลการดำเนินงานของผู้ออกตราสารหนี้ที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตในระยะสั้นถึงปานกลาง
ในกรณีที่รัฐบาลไทยยอมยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐอาจทำให้การแข่งขันรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะสำหรับผู้ออกตราสารหนี้ 3 รายในภาคเกษตรกรรม ซึ่งมีรายได้รวมกันราว 7.6 แสนล้านบาท โดยประมาณ 25% ของรายได้มาจากการจำหน่ายเนื้อหมูและเนื้อไก่ภายในประเทศ แต่บริษัทเหล่านี้มีขนาดใหญ่เพียงพอที่จะรับความเสี่ยงอัตราภาษี 36% ได้ แต่ทริสมองว่าความเสี่ยงทางเศรษฐกิจในภาพรวม เช่น การชะลอตัวของการส่งออกและการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ จะเป็นปัจจัยที่มีผลกระทบมากกว่าในระยะสั้นถึงปานกลาง
