“ทิสโก้ เวลธ์” ฟันธงปี 2562 ตลาดหุ้นยังไม่ใช่ขาลง แต่มีความผันผวนเพิ่มขึ้น-ผลตอบแทนลด แนะต้องเลือกหุ้นคุณภาพดี บล.ทิสโก้ ให้กลยุทธ์ทำกำไรระยะสั้น ซื้อวันนี้-ขาย มี.ค. 2562 มั่นใจดัชนีหุ้นไทยวิ่งไปแตะ 1,750 จุดในเดือน มี.ค.
นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล รองกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ทางเทคนิค บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ กล่าวในงานสัมมนา TISCO Wealth Investment Forum แนะนำกลยุทธ์การลงทุนระยะสั้นว่า ดัชนีที่ปรับลดลงในช่วงนี้เป็นจังหวะเหมาะสำหรับการเข้าลงทุน และไปรอขายในเดือน มี.ค. 2562 เพราะเชื่อว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์จะปรับเพิ่มขึ้นในลักษณะ Sideways Up ไปได้ถึง 1,750 จุด จากปัจจัยเรื่องการเลือกตั้งและการจ่ายปันผลของบริษัทจดทะเบียน
“สำหรับนักลงทุนที่เล่นสั้นมากๆ อาจจะซื้อตอนนี้แล้วไปขายช่วงปลายเดือน ธ.ค. 2561 ซึ่งคาดว่าตลาดจะปรับเพิ่มขึ้นจากเม็ดเงินลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) โดยทิสโก้ให้ดัชนีเป้าหมายสิ้นปีนี้อยู่ที่ 1,710 จุด จากนั้นรอซื้ออีกรอบหนึ่งในปลายเดือน ม.ค. 2562 เพราะปกติแล้วเดือน ม.ค. จะมีแรงขายจาก LTF ที่ครบกำหนดออกมามาก ซึ่งจะกดดันดัชนีให้ปรับลดลง จากนั้นไปรอขายในเดือน มี.ค. 2562” นายวิวัฒน์ กล่าว
ทั้งนี้ นายวิวัฒน์ กล่าวว่า ในไตรมาส 4 ของปีที่ผ่านๆ มาจะมีเม็ดเงินจาก LTF เข้าซื้อหุ้นไทยประมาณ 5 หมื่นล้านบาท แต่ในปีนี้เชื่อว่าเม็ดเงินลงทุนส่วนใหญ่ทยอยซื้อมาตั้งแต่เดือน ต.ค. แล้ว ดังนั้นในเดือน ธ.ค. 61 จะมีเม็ดเงิน LTF เข้าซื้ออีกประมาณ 2.2 หมื่นล้านบาท
นอกจากนี้ นายวิวัฒน์ กล่าวอีกว่า “ในปีหน้าควรจะใช้กลยุทธ์แบบ Trigger Fund คือ ตั้งเป้ากำไรไม่ต้องสูงมาก อาจจะประมาณ 5-7% ตอนนี้เรายังประเมินดัชนีเป้าหมายได้แค่ไตรมาสแรก เพราะไตรมาส 2 ยังมองไม่ออก ต้องรอดูนโยบายรัฐบาลใหม่ก่อน แต่ให้เป้าหมายเบื้องต้นไว้ที่ 1,800-1,850 จุดเท่ากับจุดสูงสุดของปี 2561 ไว้ก่อน ดังนั้นการลงทุนในหุ้นไทยช่วงนี้จึงแนะนำให้ลงทุนในระยะสั้น ติดตามข่าวสารอย่างต่อเนื่องและประเมินสถานการณ์เดือนต่อเดือน”
อย่างไรก็ตาม นายวิวัฒน์ กล่าวว่า หลังจากมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งจะเป็นการปลดล็อคให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุน เพราะนักลงทุนกลุ่มหนึ่งที่เน้นลงทุนโดยประเมินจากเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) จะไม่สนใจว่าพรรคไหนจะมาเป็นรัฐบาล แต่เชื่อว่า เม็ดเงินที่จะเข้ามายังไม่มากนัก เนื่องจากหากประเมินจากเงินปันผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 3.2% ยังต่ำกว่าตลาดหุ้นหลายประเทศ ทำให้โอกาสที่ตลาดหุ้นไทยจะปรับเพิ่มขึ้นมีไม่มาก แต่โอกาสที่จะปรับลดลงมีไม่มากเช่นกัน”
สำหรับหุ้นเด่นในไตรมาสที่ 1 นายวิวัฒน์ แนะนำ 5 บริษัทจาก 5 กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์จากภาวะเศรษฐกิจ ได้แก่
กลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น แนะนำ BBL ราคาเป้าหมาย 249 บาท
กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ได้ประโยชน์จากการลงทุนภาครัฐ แนะนำ CK ราคาเป้าหมาย 38 บาท
กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมประโยชน์จากโครงการ EEC แนะนำ WHA ราคาเป้าหมาย 4.50 บาท
กลุ่มขนส่ง แนะนำ BTS ซึ่งได้ประโยชน์จากรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย ราคาเป้าหมาย 11 บาท
กลุ่มสื่อนอกบ้าน ได้ประโยชน์จากการเลือกตั้ง แนะนำ PLANB ราคาเป้าหมาย 7.90 บาท
นอกจากนี้ ยังแนะนำหุ้นปันผลเด่น ที่มีเงินปันผลตอบแทนมากกว่า 5% ซึ่งจะได้ประโยชน์จากการเข้าลงทุนของนักลงทุนที่คาดหวังเงินปันผลในช่วงไตรมาส 1 ได้แก่ BCP ราคาเป้าหมาย 38 บาท, KKP ราคาเป้าหมาย 83 บาท และ LH ราคาเป้าหมาย 13.10 บาท
รวมทั้งแนะนำหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ที่คาดว่าจะให้ผลตอบแทนเหนือกว่าตลาดในปี 2562 ได้แก่ CK ราคาเป้าหมาย 38 บาท, STEC ราคาเป้าหมาย 31.75 บาท และ SEAFCO ราคาเป้าหมาย 11.80 บาท
สำหรับการลงทุนในทองคำ นายวิวัฒน์ ประเมินว่าในปี 2562 ราคาทองคำน่าจะปรับตัวขึ้นตามความต้องการของนักลงทุนที่ต้องการซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยไว้จัดพอร์ตการลงทุน โดยประเมินแนวต้านของทองคำในปี 2562 ไว้ที่ 1,300 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์
“นักลงทุนที่กลัวว่า เศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในปี 2563 เริ่มใส่ทองคำเข้าไปในพอร์ตมากขึ้น จีน รัสเซีย เริ่มกลับมาซื้อทองคำหลังจากที่ไม่ได้ซื้อมานาน” นายวิวัฒน์ กล่าว
เช่นเดียวกับ นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ ที่กล่าวว่า “ราคาทองคำผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาเริ่มเห็นการถือครองทองคำของ ETF ทองคำเพิ่มจากขึ้น จาก 2-3 ปีที่ลดลงตลอด รวมถึงกลุ่ม Hedge Fund เริ่มกลับมาซื้อ ทำให้ทองคำดูมีอนาคตในปีหน้า”
สำหรับมุมมองต่อการลงทุนหุ้นไทย นายคมศร กล่าวว่า “ข่าวดี คือ ตลาดหุ้นปรับลดลงมาแล้ว โดยตลาดพัฒนาแล้วลดลง 10-15% ตลาดเกิดใหม่ลดลง 20-30% ซึ่งถือว่าลงมาใกล้จุดต่ำสุดแล้ว แต่ในปี 2562 ตลาดหุ้นมีตัวฉุดเยอะ ทำให้นักลงทุนต้องหันมาลงทุนในหุ้นที่มีคุณภาพสูง ซึ่งจะได้รับผลกระทบจากตัวฉุดน้อยกว่า”
อ่านประกอบ