เมืองไทย แคปปิตอล เผยคุณสมบัติเข้า MSCI แล้ว ตั้งเป้า 5 ปี ติดอันดับหุ้นยั่งยืนโลก DJSI เดือนพ.ย.-ธ.ค.เดินสายโรดโชว์ 3 ประเทศ ดึงสถาบันต่างชาติถือหุ้นเพิ่มจาก 9 %เป็น 11% ลุ้นทริสเพิ่มอันดับเครดิตเป็น BB+ ถึงเกณฑ์สถาบันไทยลงทุนได้ ลดต้นทุนหุ้นกู้ลง 0.30-0.50% เดินหน้ากลยุทธ์โตก้าวกระโดด ผลกำไรวิ่งตามเป้าระยะยาวถึงปี 2563 ถึงเวลานั้นทบทวนแผนธุรกิจใหม่
นาย ชูชาติ เพ็ชรอำไพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล(MTC)ให้ข้อมูลแก่นักวิเคราะห์และนักลงทุน ว่า บริษัทยังคงดำเนินธุรกิจตามแผนระยะยาวถึงปี 2563 โดยขยายสาขาให้ครอบคลุมพื้นที่สำคัญ เพื่อขยายสินเชื่อ และปิดโอกาสการเข้ามาแข่งขันของรายใหม่ ทำให้ผลกำไรและการขยายสินเชื่อเติบโตก้าวกระโดด หุ้นของบริษัทได้รับความสนใจจากนักลงทุน
ขณะนี้หุ้น MTC มีคุณสมบัติครบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด(มาร์เก็ตแคป) 1 แสนล้านบาท ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน และสภาพคล่องเข้าเกณฑ์การคำนวณของดัชนี MSCI เรียบร้อยแล้ว และบริษัทมีแผนที่จะออกไปนำเสนอข้อมูลให้กับนักลงทุนในประเทศ สิงคโปร์ มาเลเซียและฮ่องกงในช่วงที่เหลือของปีนี้ หลังจากธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศนโยบายการดำเนินธุรกิจชัดเจนแล้ว โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มจำนวนนักลงทุนสถาบันต่างประเทศเข้ามาถือหุ้นเพิ่มขึ้นจาก 9% เป็น 11% ซึ่งเป็นจุดสูงสุดในข่วงที่ผ่านมา
“เราไม่มีอะไร เซอร์ไพรส์ ปีนี้โต 40% ปีหน้าโต 35% แลเะปีต่อไปโต 30% ส่วนเอ็นพีแอลก็ไม่ได้เพิ่มขึ้น ไตรมาส 3 ลดลงเหลือ 1.26% จากไตรมาส 2 อยู่ที่ 1.35% ธุรกิจก็ทำเหมือนเดิม ไม่มีการซื้อหนี้มาบริหาร หรือออกไป CLMV ปีหน้าขยายสาขา 600 แห่งตามแผน แม้ว่าเราเพิ่มสาขาและพนักงานใหม่ ยังคงรักษาประสิทธิภาพการขยายสินเชื่อต่อคนต่อสาขาได้เท่าเดิม อัตรากำไรสุทธิ 33% และอัตราผลตอบแทนของส่วนผู้ถือหุ้น 35% และตามปกติ ธุรกิจจะเติบโตมากในไตรมาสที่ 4” นายชูชาติกล่าว
ส่วนการขยายสินเชื่อจำนวนมาก นายชูชาติยืนยันว่า บริษัทไม่มีปัญหาเรื่องสภาพคล่อง เงินไหลเข้ามาชำระคืนหนี้วันละ 400-500 ล้านบาท ในปีนี้ได้ออกหุ้นกู้ ระยะยาว 3- 4 ปี ล็อคต้นทุนที่สูงขึ้นตามแนวโน้มดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกาแล้ว โดยไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุนจดทะเบียนและโครงสร้างทางการเงินมั่นคงแบ่งเป็นเงินระยะยาว 70% และระยะสั้น 30%
นายปริทัศน์ เพชรอำไพ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการบริษัท เมืองไทย แคปปิตอล กล่าวว่า ในปีนี้ออกหุ้นกู้แล้ว อายุ 3 ปี และ 4 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.1% และ 4.3% ตามลำดับ ปีหน้าก็จำเป็นต้องออกหุ้นกู้ใหม่อย่างต่อเนื่อง ดูแลดี/อีไม่เกิน 4 เท่า และยังมีวงเงินกู้จากธนาคาร
นอกจากนี้ ยังมีความหวังว่าบริษัททริสเรทติ้ง น่าจะมีการปรับอันดับเครดิตให้บริษัท จาก BBB เป็น BB+ เนื่องจากความชัดเจนเรื่องนโยบายการกำหนดอัตราดอกเบี้ยสูงสุด 28% ไม่ใช่ 15% อย่างที่กังวลกันที่ผ่านมา ซึ่งหากบริษัทได้รับอันดับเครดิตที่ BB+ จะทำให้นักลงทุนสถาบันสามารถเข้ามาลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทได้ และยังช่วยลดต้นทุนในการระดมทุนด้วย ประมาณ 0.30-0.50% ช่วยเพิ่มอัตรากำไรสุทธิ จากไตรมาส 3/2561 ลดลงเล็กน้อยจากไตรมาส 2 เพราะหุ้นกู้มีดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นตามแนวโน้มของสหรัฐ
นอกจากนั้นบริษัทยังมีการวางแผนการดำเนินงานระยะยาว เช่น ตั้งเป้าหมาย 5 ปีข้างหน้า จะมีคุณสมบัติติดกลุ่มหุ้นยั่งยืนของโลก DJSI เพื่อให้นักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนมากขึ้น