HoonSmart.com>>ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทั้ง 3 ดัชนีหลักปิดลบ ดาวโจนส์ลดลง 245 จุด นักลงทุนขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โยกซื้อหุ้นกลุ่มที่มีมูลค่าต่ำกว่า ด้าน “ราคาน้ำมันดิบ” ปรับตัวลดลง ฟาก “ตลาดหุ้นยุโรป” ปิดลบ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average: DJIA) วันที่ 12ธันวาคม 2568 ปิดที่ 48,458.05 จุด ลดลง 245.96 จุด หรือ -0.51% เนื่องจากนักลงทุนยังคงขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและหันไปลงทุนในหุ้นกลุ่มที่มีมูลค่าต่ำกว่าแทน
ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,827.41 จุด ลดลง 73.59 จุด, -1.07%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 23,195.17 จุด ลดลง 398.69 จุด, -1.69%
ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์บวก 1.1% ขณะที่ดัชนี S&P500 ลดลง 0.6% และดัชนี Nasdaq ลดลง 1.6%
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับสูงขึ้น โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ขยับขึ้นแตะระดับ 4.18% และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 30 ปี ปรับขึ้นเหนือ 4.85% เนื่อง จากนักลงทุนย่อยความเห็นจากเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ลงคะแนนเสียงคัดค้านการลดอัตราดอกเบี้ยในสัปดาห์นี้ โดยกล่าวเมื่อวันศุกร์ว่า พวกเขากังวลว่าอัตราเงินเฟ้อยังคงสูงเกินไปที่ควรจะลดดอกเบี้ย
นักลงทุนมองในทางบวกเกี่ยวกับการลดอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ เพิ่มเติมในปี 2026 หลังจากที่เฟดลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25%เมื่อวันพุธ ด้วยคะแนนเสียง 9 ต่อ 3 แม้ว่าผู้กำหนดนโยบายจะส่งสัญญาณว่าจะชะลอการลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มไว้ก่อนในขณะนี้ก็ตาม ผู้กำหนดนโยบายแสดงความกังวลเกี่ยวกับตลาดแรงงานที่ชะลอตัวลง รวมถึงอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงสูงเกินไป
ข้อมูลการขอรับสวัสดิการว่างงานของสหรัฐฯ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่าจำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งใหม่เพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบเกือบ 4 ปีครึ่งในสัปดาห์ที่ผ่านมา
นักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับมูลค่า AI ที่สูงเกินไปกลับมาอีกครั้ง หลังจากที่ Broadcom รายงานผลประกอบการที่ไม่ชัดเจนและราคาหุ้นร่วงลง 11.4% เช่นเดียวกับ Oracle ซึ่งทำให้ตลาดต้องการข้อมูลมากกว่านี้ บริษัทผู้ผลิตชิปรายนี้ไม่สามารถให้ความชัดเจนเกี่ยวกับผลตอบแทนจาก AI ได้ ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับอัตรากำไรที่ลดลงแทน ส่งผลให้ราคาหุ้นร่วงลง 4.5% ในวันศุกร์ แม้ว่าผลประกอบการรายไตรมาสจะดีเกินคาดและคาดการณ์ไตรมาสนี้ที่แข็งแกร่งก็ตาม
การซื้อขายหุ้นกลุ่ม AI เผชิญกับแรงกดดันมากขึ้น โดยหุ้นอย่าง AMD, Palantir Technologies และ Micron ต่างพากันลดลง ส่งผลให้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีลดลง 2.9% ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดในบรรดากลุ่มอุตสาหกรรมหลักของดัชนี S&P 500 แต่หุ้นในกลุ่มอื่นๆ ของตลาด เช่น กลุ่มการเงิน การดูแลสุขภาพ และอุตสาหกรรม กลับปรับขึ้น โดย Visa และ Mastercard รวมถึง UnitedHealth Group และ GE Aerospace ต่างปรับขึ้น
ขณะเดียวกัน หุ้นกลุ่มวัฏจักรเศรษฐกิจ ซึ่งอ่อนไหวต่อเศรษฐกิจมากกว่า ได้รับแรงหนุนจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งที่สามของปีโดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) การผ่อนคลายทางการเงินเกิดขึ้นท่ามกลางความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นต่อการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งช่วยผลักดันให้ตลาดหุ้นโดยรวมมีแนวโน้มขาขึ้น
แม้ความผันผวนในระยะสั้นสูงขึ้น แต่ก็ยังคงมองในทางบวกพอสมควรเกี่ยวกับแนวโน้มระยะกลางถึงระยะยาวของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในรายงานล่าสุดที่เผยแพร่เมื่อวันศุกร์ กลุ่ม UBS คาดการณ์ว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นต่อไปได้อีก UBS คาดการณ์ว่าภายในสิ้นปี 2026 ดัชนี S&P 500 อาจปรับตัวขึ้นไปถึง 7,700 จุด ซึ่งบ่งชี้ถึงศักยภาพในการปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากระดับปัจจุบัน ในบรรดาปัจจัยขับเคลื่อนนั้น คาดว่ากลุ่ม “Mag 7” จะกลับมาเป็นแรงผลักดันหลักที่ทำให้ดัชนีปรับตัวขึ้นอีกครั้ง
ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบ หลังจากที่ปรับตัวขึ้นในช่วงต้นสัปดาห์ โดยได้รับแรงกดดันจากตลาดหุ้นวอลล์สตรีท เนื่องจากความกังวลที่กลับอีกครั้งว่าอาจจะเกิดฟองสบู่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งหักล้างการปรับตัวขึ้นในช่วงต้นสัปดาห์จากความหวังในทางบวกเกี่ยวกับการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
ดัชนี STOXX 600 ลดลงหลังจากที่ปรับตัวขึ้นมากที่สุดในรอบกว่าสองสัปดาห์เมื่อวันก่อน ส่วนตลอดทั้งสัปดาห์ ดัชนีทรงตัว ตลาดหุ้นหลักในภูมิภาคก็ปิดตัวลงในแดนลบเช่นกัน
ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 578.24 จุด ลดลง 3.10 จุด, -0.53%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,649.03 จุด ลดลง 54.13 จุด, -0.56%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 8,068.62 จุด ลดลง 17.14 จุด, -0.21%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 24,186.49 จุด ลดลง 108.12 จุด, -0.45%
ตลาดอยู่ในภาวะหลีกเลี่ยงความเสี่ยงหลังจากคำเตือนเรื่องอัตรากำไรของ Broadcom ซึ่งยิ่งทำให้มีความกังวลเกี่ยวกับความยั่งยืนของการเติบโตที่ขับเคลื่อนด้วย AI และการทุ่มลงทุนในภาคส่วนนี้ หลังจากการคาดการณ์ที่น่าผิดหวังของ Oracle เมื่อวันพุธ
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี AI ในภูมิภาค เช่น ASML และ Schneider Electric ร่วงลง 5% และ 4.2% ตามลำดับ นักวิเคาะห์รายหนึ่งกล่าวว่า ความรู้สึกในตลาดตอนนี้กำลังเปลี่ยนจากความกลัวที่จะพลาดโอกาสจากกระแสหุ้น AI ไปสู่ความกลัวว่าจะเป็นฟองสบู่
ในยุโรป กลุ่มทรัพยากรพื้นฐานนำการลดลง โดยลดลง 1.3% เนื่องจากภาวะหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในวงกว้างส่งผลกระทบต่อสินทรัพย์ที่เน้นสินค้าโภคภัณฑ์ ราคาทองแดงลดลงมากกว่า 3%
กลุ่มธนาคารก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน โดยลดลงประมาณ 1.3% หลังจากที่ปรับตัวขึ้นติดต่อกันสี่วัน อย่างไรก็ตาม ดัชนีกลุ่มธนาคารยังคงอยู่ในกลุ่มที่ปรับขึ้นดีที่สุดในสัปดาห์นี้ โดยเพิ่มขึ้น 2.2%
หุ้น UBS เพิ่มขึ้น 2.5% แตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 17 ปี หลังจากที่สมาชิกรัฐสภาสวิสเสนอข้อประนีประนอมเกี่ยวกับกฎระเบียบด้านเงินทุนใหม่สำหรับธนาคาร เพื่อให้มั่นใจว่าธนาคารยังคงสามารถแข่งขันได้ในระดับสากล
หุ้นกลุ่มประกันภัยก็เพิ่มขึ้น 2.2% ในสัปดาห์นี้ หุ้นกลุ่มท่องเที่ยวและสันทนาการปรับขึ้นดีกว่ากลุ่มอื่นๆ ในสัปดาห์นี้ โดยปรับตัวขึ้น 2.5% และเพิ่มขึ้น 1.3% ในวันศุกร์ ด้วยแรงหนุนจาก Lufthansa ซึ่งบวก 4.7% หลังจาก Kepler Chevroux ปรับเพิ่มคำแนะนำหุ้นของสายการบินนี้เป็น ‘ซื้อ’ จาก ‘ถือ’
หุ้นกลุ่มสินค้าหรูหราในภูมิภาคลดลงมากสุดในสัปดาห์นี้ โดยลดลง 3.2% เพราะได้รับผลกระทบส่วนหนึ่งจากการประกาศของ Google เกี่ยวกับแว่นตาที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อ EssilorLuxottica ผู้ผลิต Ray-Ban
ในบรรดาหุ้นที่ปรับตัวขึ้น หุ้นกลุ่มค้าปลีก Adidas และ Puma เพิ่มขึ้น 2% และ 2.5% ตามลำดับ หลังจาก Lululemon Athletica ซึ่งเป็นคู่แข่งในสหรัฐฯ ปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรประจำปี
ในสัปดาห์หน้า ความสนใจจะอยู่ที่การตัดสินใจอัตราดอกเบี้ยครั้งสุดท้ายของปีโดยธนาคารกลางยุโรป ซึ่งคาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ย ส่วนธนาคารกลางอังกฤษคาดว่าจะลดอัตราดอกเบี้ย และคาดว่าธนาคารกลางญี่ปุ่นจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลังจากได้รับสัญญาณที่ชัดเจนจากผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น คาซูโอ อูเอดะ
ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบมกราคม ลดลง 16 เซนต์ หรือ 0.28% ปิดที่ 57.44 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนกุมภาพันธ์ ลดลง 16เซนต์ หรือ 0.26% ปิดที่ 61.12 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
