HoonSmart.com>>ตลาดหลักทรัพย์ฯยกระดับมาตรฐาน ESG เร่งพัฒนาหลักสูตรสร้างองค์ความรู้แก่ผู้บริหารระดับสูง ผู้บริหาร BTG เผยมุมมอง ESG ต้องเริ่มจากภายใน ต้องมีคำมั่นสัญญาลงมือทำจริงจัง นักวิชาการแนะองค์กรธุรกิจอย่ามอง ESG เป็นต้นทุน แต่เป็นการลงทุนเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับแบรนด์เติบโตยั่งยืนระยะยาว แข่งขันได้ในตลาดโลก
นายกิตติพงศ์ อุรพีพัฒนพงษ์ ประธานกรรมการ สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย กล่าวในการบรรยายหัวข้อ “ ESG Leads to Corporate Brand Sustainability” ระบุว่า ทางตลาดหลักทรัพย์ฯให้ความสำคัญกับเรื่อง ESG (Environment, Social, Governance) ต้องการให้บริษัทจดทะเบียนมีมาตรฐานที่ดี มีมาตรฐานเดียวกัน โดยการเติบโตทางธุรกิจต้องควบคู่ไปกับการคำนึงถึงเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ตลาดหลักทรัพย์ฯมีการพัฒนาหลักสูตรเพื่อให้องค์ความรู้เรื่อง ESG แก่ผู้บริหารระดับสูง เจ้าของกิจการบริษัทจดทะเบียน ให้มีความตระหนักว่า ESG เป็นเรื่องที่ต้องทำจริงจัง ต้องสร้างให้เป็นวัฒนธรรมองค์กร โดยเริ่มจากผู้บริหารระดับสูงสู่พนักงานของบริษัท และภาคส่วนอื่นๆในสังคมต่อไป
นายวสิษฐ แต้ไพสิฐพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบทาโกร หรือ BTG กล่าวว่า การให้ความสำคัญกับประเด็น ESG เป็นแนวโน้มสำคัญของโลก การประกอบธุรกิจต้องเติบโตอย่างยั่งยืน มีความโปร่งใสมากขึ้น ปฏิบัติตามกฎระเบียบเคร่งครัดมากขึ้น ขณะที่มีการเพิ่มประสิทธิภาพตลอดเวลา การลดมลพิษ ลดคาร์บอน จะเป็นสิ่งแวดล้อมใหม่ในการประกอบธุรกิจ ทำให้แบรนด์มีความยั่งยืน ต้องอยู่บนพื้นฐานของการมี Integrity มีจริยธรรมในการทำธุรกิจต้องคำนึงถึงสังคม ทั้งตัวบริษัทเอง คู่ค้า และพันธมิตร ต้องมีความเข้มแข็งจากภายใน ต้องลงมือทำอย่างจริงจัง มี Commitment ไม่ใช่ทำเพื่อแค่การโฆษณา เพราะแบรนด์มีบทบาทสำคัญ การจะสร้างแบรนด์ให้ยั่งยืนได้ต้องมีพื้นฐานที่ดีมีจริยธรรม และสิ่งเหล่านี้จะสื่อสารออกไปภายนอก
บริษัทเบทาโกรก่อตั้งมา 55 ปี แต่เพิ่งเข้าตลาดหลักทรัพย์ในปี 65 ในเรื่อง ESG เป็นสิ่งที่บริษัทได้ทำอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด การเติบโตแบบยั่งยืนอยู่บนพื้นฐานขององค์กรอยู่แล้ว บริษัทให้ความสำคัญทั้งกับคู่ค้า ลูกค้า รวมถึงนักลงทุน ในปัจจุบันเมื่อมุมมองเรื่อง ESG เป็นสิ่งสำคัญต้องมีการปฏิบัติอย่างจริงจัง ทำให้มีระบบมากขึ้น อยู่ภายใต้การกำกับดูแลที่เข้มข้นขึ้น ซึ่งบริษัทมีเป้าหมายในการปฏิบัติ มีความเชื่อในองค์กร ส่งผลให้แบรนด์ดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืน
นายวสิษฐกล่าวว่าบริษัทให้ความสำคัญกับผู้บริโภคให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีสุขภาพดี มีพลังงานในการประกอบกิจกรรมต่างๆ สร้างความมั่นคงในสังคม บริษัทมุ่งมั่นผลิตอาหารที่ดีมีคุณภาพ มีความปลอดภัย ในราคาที่เป็นธรรม ในส่วนของบุคลากรในบริษัทกว่า 3 หมื่นคน มีการสื่อสารภายในปลูกฝังในเรื่องการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และการมีจริยธรรม ต้องเป็นการให้คำมั่นสัญญาร่วมกันซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ต้องมีการวางแผนระยะยาว 10-20 ปี จะทำอย่างไรให้มีความยั่งยืน ต้องดูว่าทำอะไรก่อนหลัง ลำดับความสำคัญ อาทิ Food Security, Material Matrix, Climate Change ทางบริษัทมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
นายวสิษฐย้ำว่าการเติบโตอย่างยั่งยืนได้ ขึ้นอยู่กับการมีคำมั่นสัญญาเป็นเรื่องสำคัญ ต้องเริ่มจากภายในเริ่มจากตนเอง และออกไปถึงคนรอบข้าง การมีคู่ค้าที่ดี มีพันธมิตรที่ดี ทำให้เรามีสิ่งแวดล้อมที่ดีและเติบโตได้อย่างยั่งยืน
นายกิตติพงศ์ได้ยกตัวอย่างบริษัทในเครือปูนซิเมนต์ไทย หรือ SCG ระบุว่า SCG ได้ปรับตัวในเรื่อง ESG มานาน มีการกำหนดเป้าหมายชัดเจนในการทำให้สังคมและสิ่งแวดล้อมดีขึ้น มีบรรษัทภิบาล เริ่มจากทำเรื่อง CSR คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมมี Smart Living Solution, Green Choice บริษัทในเครืออย่าง SCGP ก็มีการผลิตเตียงกระดาษออกมาจำนวนมากเพื่อช่วยเหลือเรื่องเตียงผู้ป่วยในช่วงโควิดระบาด เป็นตัวอย่างในการร่วมทำให้สังคมดีขึ้น รวมถึงเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม บริษัทขนาดใหญ่อื่นๆอย่าง ปตท. บางจาก ไทยวา ก็ได้ทำเรื่องนี้มานานเช่นเดียวกัน
นายวิเลิศ ภูริวัชร คณบดี คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า พลังของการสร้างแบรนด์ไม่ได้เกิดจากคุณค่าของสินค้าแต่เพียงอย่างเดียว สังคมตระหนักถึงเรื่อง ESG ทำให้สิ่งนี้ช่วยเสริมเรื่องของแบรนด์ให้มีพลังมากขึ้น ESG ช่วยสร้างความเข้มแข็งให้แบรนด์ไทยแข่งขันได้ในตลาดโลก อย่างไรก็ตามการทำให้เกิดพลังที่ยั่งยืนต้องทำจากใจ มาจากจิตสำนึก จาก Passion จาก Spirit ต้องอยู่บนหลักการที่ถูกต้อง คือการทำดี มีคุณธรรม มีจริยธรรม ไม่เอารัดเอาเปรียบ อยากให้ผู้ประกอบธุรกิจมองว่าการทำ ESG ไม่ใช่การเพิ่มต้นทุน แต่เป็นการลงทุน เพื่อสร้าง Competitive Edge มองว่าเรื่อง ESG เป็นกลยุทธ์ดึงดูดให้ลูกค้าเลือกแบรนด์ของเรา
#ESG #BTG #SCG #SCGP