UV พลิกขาดทุน 67 ลบ. Q1/65 ค่าใช้จ่ายลงทุนธุรกิจตู้แช่-โรงไฟฟ้าฉุด

HoonSmart.com>> “ยูนิเวนเจอร์” พลิกขาดทุนงวดไตรมาส 1/65 จำนวน 67 ล้านบาท เหตุมีค่าใช้จ่ายลงทุนธุรกิจใหม่ ธุรกิจตู้แช่เชิงพาณิชย์และโรงไฟฟ้า แต่รับรู้รายได้เข้างบ หนุนรายได้รวมพุ่งแตะ 1,163 ล้านบาท ด้านธุรกิจอสังหาฯ ยังถูกกระทบจากโควิด-19

บริษัท ยูนิเวนเจอร์ (UV) เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2565 (ก.ย.-ธ.ค.2564) ขาดทุนสุทธิ 67.17 ล้าบาท ขาดทุนต่อหุ้น 0.035 บาท จากงวดปีก่อนกำไรสุทธิ 68.21 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.036 บาท

บริษัทฯ มีรายได้รวม 1,163.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบงวดปีก่อนมีจำนวน 912.8 ล้านบาท โดยมีรายได้จากการขาย บริการและให้เช่า ซึ่งเป็นรายได้หลักจำนวน 1,139.9 ล้านบาท ประกอบด้วย รายได้จากการขายและการให้บริการ 952.6 ล้านบาท รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ 183.4 ล้านบาท รายได้จากการให้เช่าและบริการ 3.2 ล้านบาท และรายได้ค่าการจัดการ 0.7 ล้านบาท

รายได้หลักปรับเพิ่มขึ้น 356.5 ล้านบาท หรือ 46% เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากรายได้จากการขายและการให้บริการเพิ่มขึ้น 590.3 ล้านบาท หรือ 162.9% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักมาจากการรับรู้รายได้ของธุรกิจใหม่ที่บริษัทฯ ได้เข้าลงทุนในงวดนี้เป็นไตรมาสแรกทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น 477.9 ล้านบาท ประกอบด้วย รายได้จากการลงทุนธุรกิจตู้แช่เชิงพาณิชย์ 226.4 ล้านบาทและรายได้จากการลงทุนในธุรกิจพลังงาน 251.5 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจสังกะสีออกไซด์อีกจำนวน 97.4 ล้านบาท หรือ 32% เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน ซึ่งสอดคล้องกับราคาตลาดโลหะลอนดอน (London Metals Exchange : LME) ที่ปรับตัวสูงขึ้นและค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง

ด้านรายได้การขายอสังหาริมทรัพย์ปรับลดลง 228.5 ล้านบาทหรือคิดเป็น 55% เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) ยังคงส่งผลในแง่ลบต่อภาวะเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ทำให้ลูกค้าชะลอการโอนกรรมสิทธิ์และธนาคารได้มีการปฏิเสธสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นจากความกังวลถึงความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้าและหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น

ในไตรมาส 1/2565 บริษัทฯ เริ่มรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นจากการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทและที่ประชุมผู้ถือหุ้น ทำให้มีการปรับสมดุลโครงสร้างรายได้ของบริษัทฯ ไม่ต้องพึ่งพิงรายได้ที่มาจากธุรกิจในภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นหลักแต่เพียงอย่างเดียวเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทฯ มีรายได้ที่มีความต่อเนื่อง (Recurring Income) จากธุรกิจที่ลงทุนใหม่ในระยะยาว

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 25 ต.ค.2564 บริษัท ยูนิเวนเจอร์ แคปปิตอล วัน จำกัด (UVCAP1) บริษัทย่อยของบริษัทฯ เข้าซื้อหุ้นสามัญของบริษัทพัฒนาอินเตอร์คูล จำกัด (PIC) ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตตู้แช่เชิงพาณิชย์เพื่อใช้ในธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม และอุตสาหกรรมต่างๆ ในสัดส่วน 60% ด้วยมูลค่าการลงทุน 560 ล้านบาท โดยบริษัทรับรู้รายได้และกำไรจากการดำเนินงานของ PIC ในงบการเงินรวมตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.2564 จนถึงวันที่ 31 ธ.ค.2564

เมื่อวันที่ 21 ธ.ค.2564 บริษัท ยูนิเวนเจอร์ บีจีพี จำกัด (UVBGP) บริษัทย่อย (บริษัทฯ ถือหุ้นในสัดส่วน 55%) ได้เข้าซื้อหุ้นทั้งหมดในบริษัท อีสเทอร์น โคเจนเนอเรชั่น จำกัด (E-COGEN) ในสัดส่วน 100% มูลค่าการลงทุน 11,334 ล้านบาท เพื่อให้ได้มาซึ่งการถือหุ้นทางอ้อมในบริษัทพีพีทีซี จำกัด (PPTC) ในสัดส่วน 74.5% และบริษัท เอสเอสยูที จำกัด (SSUT) ในสัดส่วน 100% ซึ่งเป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม (Cogeneration) โดยบริษัทฯ รับรู้รายได้และกำไรจากการดำเนินงานของ E-COGEN ในงบการเงินรวมตั้งแต่วันที่ 21 ธ.ค.2564 จนถึงวันที่ 31 ธ.ค.2564

ทั้งนี้ ตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 เป็นต้นไป บริษัทฯ จะรับรู้รายได้จากทั้ง 2 บริษัทย่อย ข้างต้นเต็มจำนวนในงบการเงินรวม อย่างไรก็ดีจากการเข้าลงทุนในธุรกิจใหม่ดังกล่าวทำให้บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการทำรายการ(เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในไตรมาสนี้) เป็นจำนวน 74.4 ล้านบาท ซึ่งหลักๆ เป็นค่าที่ปรึกษาทางการเงิน และค่าธรรมเนียมทางกฎหมาย เป็นต้น

บริษัทฯ มีต้นทุนจากการขาย บริการและให้เช่ามีจำนวน 972.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 326.8 ล้านบาท หรือ 51% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยกำไรขั้นต้นรวมยังปรับเพิ่มขึ้นบ้างเล็กน้อยเพียง 29.7 ล้านบาทหรือ 22% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากอัตรากำไขั้นต้นของธุรกิจการขายและการให้บริการที่ปรับเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากธุรกิจตู้แช่เชิงพาณิชย์ซึ่งบริษัทฯ เพิ่งเข้าไปลงทุนในไตรมาสนี้

แต่ในส่วนของธุรกิจขายอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจการให้เช่าและบริการยังคงได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่องจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นรวมของธุรกิจนี้ปรับลดลงมาอยู่ที่ 15% เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนที่ 18%