HoonSmart.com>> “บลจ.วรรณ” รับเทรนด์โลกเตรียมเปิดตัวกองทุน “เมตาเวิร์ส” ขายกลางเดือนก.พ.นี้ มองหุ้นปรับฐานจังหวะเข้าลงทุน ชูหนึ่งในกองทุนแนะจัดพอร์ตปีนี้ สร้างโอกาสในอนาคต พร้อมแนะลงทุนได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น ธีมลงทุนเติบโตระยะยาว หุ้นเทคโนโลยีการแพทย์ หุ้นยั่งยืน ด้านหุ้นญี่ปุ่นราคาต่ำ การลงทุน ไลฟ์ แซทเทิลเม้นท์ ลงทุนกรมธรรม์ประกันในสหรัฐฯ เชื่อรับมือความผันผวนสูงตลอดปีนี้ ด้านบล.ไพน์ เวลท์ โซลูชั่น แนะลูกค้าถือเงินสด 70% ตั้งแต่นต้นปีรอจังหวะเข้าเก็บหุ้น เน้นลงทุนแบบ DCA
นายพจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) วรรณ จำกัด เปิดเผยในงานสัมมนา ONE INVESTMENT FORUM 2022 เตรียมพร้อมการลงทุนสู่โลกอนาคต … ลงทุนแบบไหนสร้างผลตอบแทน ในหัวข้อ “Embracing the Future: A Shift in investment paradigm in a digital age” ว่า บลจ.วรรณมีแผนออกกองทุนนวัตกรรมใหม่ๆ รับเมกะเทรนด์อย่างต่อเนื่อง โดยเตรียมเปิดตัวกองทุน ONE-METAVERSE ในช่วงกลางเดือนก.พ.นี้ เนื่องจากมองเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจและเป็นจังหวะเหมาะในการเข้าลงทุน เนื่องจากตลาดหุ้นปรับฐานลงแรงในเดือนธ.ค.และม.ค.ที่ผ่านมาปรับตัวลงมากว่า 20% จากจุดสูงสุดแล้ว
กองทุน ONE-METAVERSE จะลงทุนในหุ้นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ METAVERSE ของโลก ซึ่งส่วนใหญ่ลงทุนในสหรัฐฯ โดยจะลงทุนในกองทุน Roundhill Ball Metaverse ETF สัดส่วน 50% ของพอร์ต ซึ่งเป็นกองทุน ETF ในสหรัฐฯ ที่ลงทุนในธุรกิจเกี่ยวข้องกับ METAVERSE เช่นกลุ่ม MAMAA ได้แก่ Meta (ชื่อเดิม Facebook), Alphabet, Microsoft, Amazon และ Apple เป็นต้น
นอกจากนี้จะลงทุนในกองทุน ETF หุ้นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Communication Services เชื่อมโยงกับ Infrastructure ในสัดส่วน 20% ของพอร์ต และที่เหลือ 30% ผู้จัดการกองทุนจะเลือกลงทุนเอง เช่น Nvidia หุ้นธุรกิจเกมส์ที่เพิ่งเริ่มต้นหรือเริ่มมาไม่นานถือว่าน่าสนใจลงทุน
“ปัจจุบัน METAVERSE ยังไม่ได้ทำกำไรให้เราในตอนนี้ อาจใช้เวลา 3 ปี 5 ปีข้างหน้า แต่เวลาเราลงทุนหุ้นพวกนี้มีพื้นฐานกำไรอยู่แล้ว กรณี Facebook อาจเหนื่อยหน่อยในช่วงนี้ที่มีคู่แข่งและผู้ใช้ก็เริ่มเต็มพิกัดจากครอง 1 ใน 4 ของประชากรโลกแล้ว”นายพจน์ กล่าว
กองทุน ONE-METAVERSE จะเป็น 1 ในกองทุนที่แนะนำจัดพอร์ตการลงทุนในปีนี้ ต่อเนื่องจากกองทุนเปิด วรรณ เมดิคอล เทคโนโลยี (ONE-MEDTECH) จับกระแสเมกะเทรนด์ ในธุรกิจเทคโนโลยีทางการแพทย์ โอกาสเติบโตของหุ้นเครืองมือแพทย์ที่ทันสมัยในสหรัฐฯ ซึ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนม.ค.ที่ผ่านมา
นายพจน์ กล่าวว่า ภาพรวมการลงทุนในปี 2565 เป็นปีที่ตลาดมีความผันผวนสูงจากนโยบายการเงินที่เข้มงวดของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ซึ่งคาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ย 5 ครั้งในปีนี้จากเดิม 2 ครั้งและลด QE เสร็จภายในเดือนมี.ค.นี้ รวมทั้งการเลือกตั้งของประเทศหลักๆ เช่น อิตาลี ฝรั่งเศส การเลือกตั้งสหรัฐฯ และจีน ซึ่งเป็น 4 กลุ่มประเทศใหญ่ของโลก แต่แนวโน้มไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงมาก หากประธานาธิบดีคนเดิมยังอยู่แผนกระตุ้นเศรษฐกิจก็เหมือนเดิม หากไม่มีช็อกก็ไม่น่ามีประเด็น ขณะที่เศรษฐกิจโลกยังเติบโตแต่ไม่ได้หวือหวามาก ไม่ได้เกินคาดการณ์ เศรษฐกิจกลับสู่ภาสะปกติ
“สิ่งที่ตลาดกลัวในตอนนี้คือการดำเนินการของธนาคารกลางประเทศต่างๆ โดยเฉพาะสหรัฐฯ จึงยังต้องติดตาม เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน ซึ่งบลจ.วรรณ ได้แนะนำลูกค้าให้ถือเงินสดเกินครึ่งหนึ่งของพอร์ตการลงทุนมาตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา จากคาดการณ์ว่าตลาดจะผันผวน เพื่อหาโอกาสในการเข้าซื้อหุ้นช่วงที่ราคาลดลง”นายพจน์ กล่าว
อย่างไรก็ตามมองว่าภายใน 2-3 เดือนข้างหน้าตลาดจะกลับมาแรลลี่อีกครั้ง ดังนั้นอย่าให้ความผันผวนระยะสั้นทำให้เราตกใจ การจัดพอร์ตกระจายลงทุนอาจดูว่าอะไรควรนำออกและเพิ่มสินทรัพย์บางส่วนที่เหมาะสมเข้ามาในพอร์ต และเป้าหมายของแต่ละบุคคล ทั้งเรื่องอายุและวัตถุประสงค์ของการลงทุน
นายพจน์ กล่าวว่า การจัดพอรต์การลงทุนยังคงเน้นการกระจายความเสี่ยงไปทั่วโลก นอกจากธีมการลงทุนในธุรกิจการเติบโตที่ล้ำสมัย เข้าเมกะเทรนด์ใหม่ๆ แล้ว การลงทุนในหุ้นเติบโตยังน่าสนใจธุรกิจที่ได้ผลบวกจากการปรับตัวขึ้นของอัตราดอกเบี้ย อย่างกลุ่มธนาคาร การเงิน ซึ่งจะได้มาร์จิ้นสูงขึ้น บริษัทไฟแนนซ์เก็บดอกเบี้ยได้สูงขึ้น หุ้นยั่งยืน (ESG) แนวโน้มการเติบโตได้สูงจากนโยบายของภาครัฐประเทศหลักๆ ของโลก รวมถึงการเลือกลงทุนในหุ้นที่มีราคาถูก ซึ่งตลาดหุ้นญี่ปุ่นถือว่าน่าสนใจ ส่วนหุ้นจีนแม้ราคาถูกแต่ต้องรอติดตามนโยบายการกำกับของรัฐให้คลี่คลายก่อน
นอกจากนี้มองการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก อย่าง Life Sattlement การลงทุนในกรมธรรม์ประกันชีวิตในสหรัฐฯ ซึ่งไม่มีความสัมพันธ์กับตลาดหุ้นและตราสารหนี้ ถือว่าน่าสนใจในช่วงที่ตลาดผันผวนในปีนี้
“ปีนี้การลงทุนต้องเลือกที่ตัวหุ้น จากปีก่อนเน้นที่หุ้นเติบโต (Growth) พี/อีสูง แต่ราคาไปได้ต่อ ซึ่งจากนี้มองเป็นกลุ่มไม่ได้ต้องเลือกดูรายตัว และอย่าลงสินทรัพย์ทุกอย่างในที่ๆ เดียว โดยปีนี้กลุ่มพลังงานมาแรง สินแร่ก็ปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น ก็ส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน และตลาดหุ้นไทยก็ได้รับอานิสงส์ มีกลุ่มพลังงานมีน้ำหนักต่อดัชนีในตลาดมาก ซึ่งตลาดหุ้นไทยปีนี้ไม่แย่ แนวโน้มปรับตัวไปที่ 1,770 จุดได้ตามเป้าหมายที่ผู้จัดการกองทุนคาดไว้ แต่หุ้นไทยไม่มีธุรกิจบางประเภทเหมือนตลาดหุ้นต่างประเทศที่ปรับตัวขึ้นได้ใดีในช่วงที่ผ่านมา จึงต้องกระจายลงทุนไปต่างประเทศ”นายพจน์ กล่าว
ส่วนการลงทุนสินทรัพย์ทางเลือกอย่างกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ซึ่งปีที่ผ่านมาถือเป็นปีทองทั่วโลกให้ผลตอบแทน 20% หลังจากล็อกดาวน์ในปี 2563 และกลับมาเปิดในปีที่ผ่านมาในอังกฤษ สหรัฐฯ ทำให้ราคาหน่วยลงทุน REIT ปรับขึ้น 15% และผลตอบแทนเงินปันผล 5% แต่ปีนี้ดอกเบี้ยขาขึ้นจึงต้องระวัง เพราะราคาหน่วยลงทุนจะปรับตัวลดลง จึงเหลือแต่เงินปันผลที่ได้รับ
นายพจน์ กล่าวว่า นอกเหนือจากกองทุน ONE-METAVERSE และ ONE-MEDTECH ที่ลงทุนตามเมกะเทรนด์โลกแล้ว อีก 4 กองทุนที่แนะนำในปีนี้ ได้แก่ กองทุนยั่งยืน (ESG) ONE-APACESG โอกาสเติบโตอย่างยั่งยืนในหุ้นเอเชีย แปซิฟิก กองทุนสินทรัพย์ทางเลือก ได้แก่ Life Settlement ซึ่งความสัมพันธ์ต่ำต่อตลาดหุ้นและตราสารหนี้ ซึ่งลงทุนในกรมธรรม์ประกันชีวิตในสหรัฐฯ ผลตอบแทนที่ผ่านมาเฉลี่ย 15% ต่อปี และปี 2564 อยู่ที่ 7-8% โดยทุกเดือนที่ทำมา 3 ปีที่ไม่มีเดือนไหนที่ผลตอบแทนติดลบ กองทุนหลักบวกตลอด รวมถึงกองทุนเปิด วรรณ โกลบอล ไฟแนนเชียล ชนิดไม่จ่ายเงินปันผล เหมาะสำหรับผู้ลงทุนทั่วไป (ONE-GLOBFIN-RA) ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้นและกองทุน ONE-UJE-RA โอกาสเติบโตในหุ้นชั้นนำของญี่ปุ่น
ส่วนกองทุน ONE-UGG (กองทุนเปิด วรรณ อัลติเมท โกลบอล โกรว์ธ) ลงทุนหุ้นเติบโตสูงทั่วโลก ซึ่งเป็นกองทุน Fund Of Year ในหลายปีก่อน สร้างผลตอบแทนได้สูงสุดใน 5 ปีย้อนหลัง ซึ่งยังคงแนะนำให้ถือลงทุนต่อ โดยกองทุนหลักคือ Baillie Gifford Long Term Global Growth Fund บริหารโดย Baillie Gifford เน้นลงทุนระยะยาว ทั่วโลกในหุ้นเติบโต (Growth) ซึ่งตอนนี้ราคาหุ้นปรับตัวลงมามาก หุ้นในพอร์ต เช่น Facebook, Google, Alibaba, Tenzen, Tesla ซึ่งกองทุนหลักจัดตั้ง 10 ปี ผลตอบแทนหลายร้อยเปอร์เซนต์และการลงทุนระยะยาว 3 ปียังไม่ขาดทุน
ส่วนกองทุน ONE-DISC (กองทุนเปิด วรรณ ดิสคัฟเวอรี่) เป็นอีกหนึ่งกองทุนที่ได้รับความสนใจในช่วงที่ผ่านมา นโยบายลงทุนคล้ายกองทุน ONE-UGG บริหารโดย Baillie Gifford เช่นกัน แต่เน้นลงทุนหุ้นบริษัทขนาดกลางและเล็ก คัดเลือกหุ้นด้วยหลัก Bottom Up ซึ่งในพอร์ตมีการกระจายลงทุนทั่วโลก โดยมองว่าหมดการทำ QE และขึ้นดอกเบี้ย หุ้นเหล่านี้จะกลับมา Perform ได้จึงแนะนำให้ถือลงทุนต่อ
ด้านนายสุรศักดิ์ ธรรมโม กรรมการและผู้บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ไพน์ เวลท์ โซลูชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบลจ.วรรณ กล่าวว่า ทุกครั้งที่ตลาดผันผวนมองเป็นโอกาสในการลงทุน ซึ่งตั้งแต่ต้นปีบริษัทฯ แนะนำลูกค้าถือเงินสด 70% ของพอร์ต เพื่อมองหาโอกาสในการลงทุน โดยมองตลาดจะปรับฐานไม่ต่ำกว่า 20-30% จากระดับสูงสุด ซึ่งดัชนี Nasdaq ลงมา 15% และยังมีโอกาสลงได้อีก 15% ขึ้นไป เนื่องจากอยู่ในช่วงต้นของวัฎจักรของการขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องในปีนี้และลดขนาดงบดุลทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรผันผวน ความตึงเครียดของรัสเซียและยูเครนทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์พุ่ง รวมถึงซัพพลายเชน ดิสรัปชั่นจากโอมิครอยที่ทำให้ขาดแคลนแรงงานดันค่าแรงและเงินเฟ้อสูง
“เราแนะนำลูกค้าไม่ต้องตกใจ ตลาดหุ้นยังลงได้อีกและมองทอง น้ำมันและสินแร่พื้นฐาน เป็นโอกาสลงทุนในช่วงครึ่งแรกของปีนี้และอาจอยู่ได้ไม่นาน จึงต้องกระจายลงทุนและหากตลาดหุ้นปรับฐานลงมาถึงระดับต้องการก็แนะนำให้ลูกค้ากลับเข้าไปลงทุนอีกครั้งทั้งสินทรัพย์หลักและสินทรัพย์ทางเลือก ในจังหวะตลาดปรับตัวลงมาแนะนำให้ซื้อ DCA ในหุ้นคุณภาพ เติบโตสูง บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ กระจายหลายบริษัทหลายอุตสาหกรรม ช่วยทำให้ความเสี่ยงพอร์ตลดลงและใช้ DCA ทุกครั้งที่ดัชนีลงมาก็ซื้อสะสมและมองการลงทุนระยะยาว รับมือเงินเฟ้อได้ แต่ระยะสั้นต้องทำใจตลาดผันผวนมากและผันผวนตลอดปี”นายสุรศักดิ์ กล่าว
สำหรับการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลแอสเซทมองว่าน่าสนใจ มองการปรับฐานจาไม่น่าจะเป็นเหมือนวิกฤตซับไพร์ม ซึ่งราคาลงจากการช็อกกับธนาคารกลางที่มีนโยบายเข้มงวดมากกว่าตลาดคาด อีกทั้งดิจิทัลแอสเซทมีผู้เล่นเพิ่มขึ้นมาต่อเนื่อง จากหลักๆ ใน 7-8 ปีเป็นรายย่อย ขณะที่สถาบันเพิ่งเข้ามาไม่เกินปีครึ่ง ซึ่งราคาที่ลดลงมองเป็นโอกาสลงทุน สำหรับพอร์ตที่รับความเสี่ยงได้ปานกลางควรมีน้ำหนักลงทุนประมาณ 1.1% ของพอร์ต หากผู้ที่มีความเข้าใจและรับความเสี่ยงได้มากก็อาจเพิ่มสัดส่วนขึ้นได้ เพื่อเป็นการกระจายลงทุนและโอกาสในการลงทุนในอนาคต เพราะกฎเกณฑ์การลงทุนของโลกเปลี่ยนไป โควิด-19 เป็นตัวเร่งให้ดิจิทัลแอสเซทเติบโต
นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปีตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BCGH) กล่าวว่า การปรับฐานของดิจิทัลแอสเซทมองไม่เหมือนวิกฤตซัพไพร์ม แต่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะกระทบตลาดสินทรัพย์เหมือนตลาดหุ้น ซึ่งรอบนี้ราคาสินทรัพย์ดิจิทัลปรับตัวลงมา 50% แล้ว ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะเป็นตลาดหมีหรือยัง แต่สิ่งที่แตกต่างในอดีตคือเม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนสถาบันไหลเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลค่อนข้างมาก เมื่อเทียบกับช่วง 8 ปีที่ผ่านมาเป็นผู้เล่นรายย่อยเป็นหลัก รวมทั้งปัจจุบันสินทรัพย์ดิจิทัลใช้ได้จริงมากขึ้น มีการพัฒนาวงการดิจิทัลแอสเสทมากขึ้น มี NFT มีการปล่อยกู้ เป็นต้น
นายจิรายุส กล่าวว่า ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีตที่ผ่านมาพบว่าทุก 4 ปีจะเกิดปีทอง หลังจากเกิด Bitcoin Halving ใน 6 เดือนจากนั้น ซึ่งปีทองในครั้งหน้าจะเกิดในปี 2024 แต่รอบนี้มีสิ่งที่แตกต่างจากทุกรอบที่ผานมาคือการเข้ามาลงทุนของนักลงทุนสถาบัน เงินลงทุนของบริษัทมากขึ้น อย่าง Coinbase ผู้ให้บริการซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซีเหมือนบิทคับ ซึ่งอยู่ในสหรัฐฯ จากอดีตปี 2017 มีนักลงทุนรายย่อยลงทุน 70% และสถาบัน 30% แต่ปีก่อนสัดส่วนสลับกันโดยเป็นนักลงทุนสถาบัน 70%และรายย่อย 30% หลังจากสินทรัพย์ดิจิทัลมี Infrastructure มีคัสโตเดียนมีการเก็บสินทรัพย์ที่ปลอดภัย จึงเริ่มเห็นเงินลงทุนสถาบันไหลเข้ามามากขึ้น
“ยังเชื่อมั่นในระยะยาวเชื่อว่ากฎของโลกเปลี่ยนทุกสิบปีคนรุ่นใหม่ได้อยากเป็นเจ้าของสินทรัพย์อย่างเดิม แต่มองที่ดิจิทัลแอสเซทมีโอกาสเติบโต แต่ระยะสั้นนักลงทุนต้องระมัดระวัง ขึ้นแรง ลงแรง อย่าเอาเงินเสี่ยงไม่ได้มาเก็งกำไรและต้องใช้เวลาศึกษาและมีความเข้าใจในการลงทุน”นายจิรายุส กล่าว
นายนิรันดร์ ประวิทย์ธนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอวา แอคไวเซอรี่ จำกัด กล่าวว่า พัฒนาการเทคโนโลยีก้าวกระโดดเกิดโอกาสลงทุนใหม่ๆ METAVERSE ป็นพัฒนาการต่อยอดของบลอคเชน เป็นโลกเสมือนที่ถ่ายโอนการเป็นเจ้าของเข้าสู่โลก METAVERSE เกิดสินทรัพย์ใหม่ๆ NFT เป็นต้น ยังใหม่ เป็นโลกใหม่ที่น่าสนใจแตต้องเข้าใจและมีโอกาสจับตาการเปลี่ยนแปลงและดูพัฒนาการต่อไปในอนาคต
สำหรับการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลปัจจุบันมีหลากหลายที่จ่ายเงินปันผลและถือเพื่อเก็งกำไร บางตัวสามารถนำไปหาผลตอบแทนได้มากถือไว้ จึงมองการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลสามารถนำมาจัดพอร์ตการลงทุนได้ แต่ต้องใช้เวลาศึกษาและเข้าใจการลงทุน