DOD เทรดวันแรก ปิดที่ 14.70 บาท สูงกว่าราคาจอง 58.06% “ศุภมาส” ชี้ราคาดีเกินคาดมาก ลั่นเดินหน้าสร้างรายได้และกำไรเติบโตต่อเนื่อง เงินสดเพียบจ่อลงทุนต่อยอดธุรกิจ
เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. หุ้นบริษัท ดีโอดี ไบโอเทค (DOD) เข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ MAI เป็นวันแรก ทันทีที่เปิดการซื้อขาย ราคาหุ้นวิ่งไปที่ 10.60 บาท ยืนเหนือราคาจอง 1.30 บาท หรือเพิ่มขึ้น 13.98% จากนั้นมีแรงขายทำกำไร ทำให้ราคาหุ้นร่วงลงต่ำสุดของวันที่ระดับ 9.85 บาท ก่อนมีแรงซื้อกลับเข้ามา เมื่อปิดตลาดภาคเช้าราคาหุ้นอยู่ที่ 11.00 บาท
อย่างไรก็ตาม หลังจากเปิดทำการซื้อขายในภาคบ่ายไม่ถึง 1 ชั่วโมง เริ่มมีแรงซื้อเพิ่มขึ้นอย่างหนาแน่น โดยเฉพาะในช่วงก่อนปิดตลาด ส่งผลราคาหุ้น DOD ปิดสูงสุดของวันที่ระดับ 14.70 บาท บวก 5.40 บาท หรือเพิ่มขึ้น 58.06% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3,897 ล้านบาท และทำให้ DOD กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงถึง 6,027 ล้านบาท
น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการ DOD ให้สัมภาษณ์ว่า ราคาหุ้น DOD ที่ปิดตลาดสูงกว่าราคาไอพีโอถึง 58% ถือเป็นระดับที่น่าพอใจ และดีเกินคาดหมายเอาไว้มาก โดยเฉพาะในสภาวะที่ตลาดหุ้นเป็นแบบนี้ อย่างไรก็ตาม ในฐานะฝ่ายบริหาร ตนเองมีหน้าที่สร้างรายได้และกำไรของบริษัทให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง
“ราคาหุ้นดีเกินคาดหมายเอาไว้มาก และเราก็มั่นใจในพื้นฐานของธุรกิจของเรา โดย DOD เป็นหุ้นเติบโตและยังเติบโตได้อีกมาก อีกทั้งเป็นการเติบโตที่มีเหตุผลรองรับ ส่วนราคาหุ้นจะไปซื้อขายกันที่เท่าไหร่นั้น คงต้องขึ้นอยู่กับความพอใจของนักลงทุน”น.ส.ศุภมาสกล่าว
น.ส.ศุภมาส ระบุว่า สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุน 1,023 ล้านบาท DOD จะนำไปลงทุนสร้างโรงงานสกัดสมุนไพรและห้องปฏิบัติการครบวงจร 100 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้บริษัทได้ส่งแบบก่อสร้างไปให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแล้ว หากได้รับอนุมัติจะใช้เวลาก่อสร้าง 1 ปี คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ปีหน้า
นอกจากนี้ บริษัทจะลงทุนและพัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารภายใต้แบรนด์สินค้าของบริษัท ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับผู้สูงอายุ วงเงิน 100 ล้านบาท และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารตรีผลา วงเงิน 100 ล้านบาท โดยบริษัทจะเริ่มออกผลิตภัณฑ์ทั้ง 2 แบรนด์ในช่วงต้นปีหน้าเช่นกัน
“เงินที่ได้จากการระดมทุนที่เหลือ 700 กว่าล้านบาท เราจะกันไปใช้หนี้ที่มีกับสถาบันการเงิน 50 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้บริษัทปลอดภาระหนี้สินที่มีดอกเบี้ย อีก 650 ล้านบาท บริษัทจะเตรียมไว้ลงทุนในธุรกิจอื่นๆที่บริษัทมีความรู้ ถนัด และต้องรอบคอบ เพราะเป็นเงินที่ได้จากนักลงทุน ซึ่งอยู่ระหว่างพิจารณา คาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆนี้”น.ส.ศุภมาสกล่าว
น.ส.ศุภมาส กล่าวว่า แนวโน้มผลประกอบการในช่วงไตรมาส 2 ยังมีทิศทางที่ดีต่อเนื่อง โดยบริษัทได้รับคำสั่งผลิตสินค้าจากลูกค้าในระดับใกล้เคียงกับไตรมาสแรก และมีการใช้กำลังการผลิต 60% หรือคิดเป็น 1 ล้านกล่องเดือน ทำให้ทั้งปีมั่นใจว่าทั้งรายได้และกำไรจะมากกว่าปี 2560
ขณะเดียวกัน บริษัทยังมุ่งมั่นที่จะรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ไม่ต่ำกว่า 50% โดยหลีกเลี่ยงการแข่งขันด้านราคา รวมทั้งจำกัดความเสี่ยงด้วยการรับเงินสดค่าผลิตสินค้าจากลูกค้าล่วงหน้าในอัตรา 50% มูลค่าสินค้าที่สั่งซื้อ
“ตลาดสินค้าเพื่อสุขภาพยังเติบโตได้อีกมาก โดยปีที่แล้วตลาดในประเทศมีมูลค่า 6 หมื่นล้านบาท และน่าจะไปถึง 1 แสนล้านบาทได้ โดยเฉพาะอีกไม่กี่ปีไทยข้างหน้าไทยจะมีผู้สูงอายุ 1 ใน 3 ของประชากร ขณะที่ความต้องการสารสกัดจากสมุนไพรในต่างประเทศมีสูงมาก เช่น จีนและญี่ปุ่น ซึ่งเราเป็นเจ้าแรกที่มีโรงงานสกัดสมุนไพรครบวงจร”น.ส.ศุภมาสกล่าว
สำหรับในปี 2560 บริษัทมีรายได้ 388 ล้านบาท และกำไร 142 ล้านบาท ส่วนไตรมาสแรกปีนี้ บริษัทมีรายได้ 214 ล้านบาท และมีกำไร 111 ล้านบาท โดยกำไรเพิ่มขึ้น 231% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปีก่อน