HoonSmart.com>>บจ.ไม่รู้จะเอาเงินไปลงทุนอะไรดี เห็นหุ้นต่ำขนาดนี้ สร้างปรากฎการณ์แห่ซื้อคืน 30 ม.ค.ประกาศพร้อมกัน 3 บริษัท บอร์ดช.การช่างเปิดทางใช้เงิน 3,000 ล้านบาทเก็บหุ้น 10 % ทีพีไอ โพลีนซื้อ 2% ที่เด็ดสุดธนาคารกสิกรไทย ทุ่ม 4,600 ล้านบาท กวาด 23 ล้านหุ้น ภายใน 10 วันเท่านั้น แถมจ่ายเงินปันผลเพิ่มอีก รอบนี้ผลตอบแทน 3.18% คุยมีกำไรสะสมเฉียด 3 แสนล้านบาท ปลุกหุ้นแบงก์ใหญ่วิ่งฉิว ธนาคารไทยพาณิชย์สบโอกาสขึ้น XD ปันผลพิเศษ 0.75 บาท
นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานกรรมการ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เปิดเผยว่า คณะกรรมการธนาคาร(บอร์ด)มีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืน จำนวน 1% คิดเป็น 23,932,601 หุ้น ใช้เงินทั้งสิ้น 4,600 ล้านบาท ซื้อหุ้นคืนจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 14 ก.พ.-27 ก.พ.2563
ประธานกรรมการ KBANK กล่าวว่า ในช่วงนี้ราคาหุ้นส่วนใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ รวมถึงหุ้นของกลุ่มธนาคารพาณิชย์อ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่อง ธนาคารกสิกรไทยเปิดโครงการซื้อหุ้นคืน เพื่อบริหารสภาพคล่องทางการเงิน ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับธนาคารและผู้ถือหุ้น โดยใช้เงินสดจากสภาพคล่องภายใน และยังมีเงินกองทุนทั้งสิ้นต่อสินทรัพย์เสี่ยง (CAR) สูงถึง 19.62% มีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะสามารถรองรับการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์และธุรกิจของธนาคาร มาตรฐาน BASEL 4 และปัจจัยที่อาจจะเป็นผลกระทบในอนาคต รวมทั้งธนาคารยังคงมีสภาพคล่องทางการเงินอย่างเพียงพอ โดยเฉพาะมีกำไรสะสมที่ยังไม่ได้จัดสรรสูงถึง 299,217 ล้านบาท
สำหรับโครงการซื้อหุ้นคืนจากตลาดหลักทรัพย์จะส่งผลให้ธนาคารมีสินทรัพย์สภาพคล่อง และมูลค่าทางบัญชีของส่วนของผู้ถือหุ้นลดลง และสามารถบริหารสภาพคล่องส่วนเกินและเงินกองทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากธนาคารสามารถซื้อหุ้นคืนได้ครบตามวงเงินที่ตั้งไว้ จะทำให้มีสินทรัพย์สภาพคล่องและมูลค่าทางบัญชีของส่วนของผู้ถือหุ้นลดลงเป็นจำนวนเท่ากับวงเงินซื้อหุ้นคืนดังกล่าว ซึ่งจะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น (ROE) และอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) สูงขึ้น
ทั้งนี้ หลังจากมีการซื้อหุ้นคืนแล้ว ในอนาคตคณะกรรมการธนาคารอาจพิจารณาขายหุ้นที่ซื้อคืนในตลาดหลักทรัพย์ หรือเสนอขายต่อประชาชนทั่วไป ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม ภาวการณ์ และปัจจัยที่เกี่ยวข้องในช่วงเวลานั้น ทั้งนี้ กำหนดระยะเวลาการขายหุ้นคืนจะทำหลังจากที่ซื้อหุ้นมาแล้ว 6 เดือน แต่ไม่เกิน 3 ปี ซึ่งเป็นไปตามกฎระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
นอกจากนั้น คณะกรรมการธนาคาร ยังมีมติเห็นชอบการจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานปี 2562 แก่ผู้ถือหุ้นสามัญในอัตราหุ้นละ 5 บาท โดยจ่ายระหว่างกาลแล้วหุ้นละ 0.50 บาท เหลือจ่ายงวดสุดท้ายอีก 4.50 บาท ให้ผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผลในวันที่ 10 เม.ย. 2563 และกำหนดจ่ายเงินวันที่ 30 เม.ย. 2563 ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมา ธนาคารจ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 4 บาท
ธนาคารกสิกรไทยจ่ายเงินปันผลอีกหุ้นละ 4.50 บาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทนประมาณ 3.18% เมื่อเปรียบเทียบกับราคาปิดที่ 141.50 บาท ของวันที่ 30 ม.ค. 2563 ที่เพิ่มขึ้น 8 บาท หลังจากธนาคารประกาศข่าวดี 2 เรื่องและส่งผลให้หุ้นแบงก์ขนาดใหญ่ดีขึ้นด้วย เช่น ธนาคารกรุงเทพ (BBL) บวก 2 บาท ปิดที่ 143 บาท และ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ปิดที่ 99.25 บาท ลดลงเพียง 0.25 บาท ขณะที่ธนาคารขึ้น XD ผู้ถือหุ้นได้รับปันผลพิเศษ 0.75 บาท ทั้งนี้ราคาหุ้น KBANK และ SCB ปรับตัวลงไปต่ำสุดในรอบ 8 ปี
ปัจจุบันหุ้นธนาคารพาณิชย์ นับเป็นกลุ่มหุ้นที่ให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่ดี ประมาณ 3-5% ต่อปี โดยเฉพาะจากกำไรในปี 2562 ซึ่ง SCB และบริษัท ทุนธนชาต(TCAP ) มีกำไรพิเศษ จากการขายหุ้นบริษัทในกลุ่มออกไป ส่วนหนึ่งนำมาเพิ่มผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้น นอกจาก SCB จ่ายเงินปันผลพิเศษ 0.75 บาทแล้ว ยังมีการปรับนโยบายการจ่ายเงินปันผลเป็นไม่น้อยกว่า 30% จากเดิมจ่าย 30-50%ของกำไรสุทธิ ซึ่งนักวิเคราะห์จากบล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง(ประเทศไทย) คาดว่าในปี 2563-2564 มีโอกาสจ่ายในอัตราสูงถึง 50% ของกำไรสุทธิ เพื่อรักษาผลตอบแทนในภาวะกำไรเผชิญกับความเสี่ยงมากมาย ก่อนหน้านี้TCAP ได้จ่ายพิเศษ 4 บาท จากการขายธนาคารธนชาตให้ธนาคารทหารไทย
สำหรับการซื้อหุ้นคืน บอร์ด บริษัทช.การช่าง(CK) มีมติอนุมัติวงเงินถึง 3,000 ล้านบาท เพื่อซื้อหุ้นคืนจำนวน 10% คิดเป็น 169,389,000 หุ้น ในตลาดหลักทรัพย์ ตั้งแต่วันที่ 2 มี.ค.-1ก.ย. 2563 ข่าวนี้ส่งผลให้ราคาหุ้น CK พุ่งขึ้น 1 บาทหรือ 5.38% ปิดที่ 19.60 บาท และบอร์ดบริษัท ทีพีไอโพลีน (TPIPL) อนุมัติเงิน800 ล้านบาท เพื่อซื้อหุ้นคืนจำนวน 383.61 ล้านหุ้น หรือ 2% ในตลาดหลักทรัพย์ วันที่ 14 ก.พ.-13 ส.ค. ด้านราคาหุ้นปิดที่ 1.56 บาท บวก 0.05 บาทหรือ 3.31%
เมื่อต้นปี 2563 บอร์ดบริษัทศุภาลัย(SPALI) ก็ได้อนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืน เป็นสัญญาณต่อเนื่องจากปลายปีที่ผ่านมา มีหลายบริษัทเปิดโครงการซื้อหุ้นคืน ส่วนบริษัทที่มีโครงการแล้ว ก็มีการซื้อหุ้นคืนอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากราคาหุ้นปรับตัวลงแรง ทำให้ราคาต่ำกว่ามูลค่าหุ้นทางบัญชี หรือ P/BV ต่ำกว่า 1 เท่า
นอกจากนี้บริษัทยังมีสภาพคล่องอยู่ในมือสูง ขณะที่ไม่รีบใช้เงินสำหรับการขยายการลงทุน เพราะกำลังผลิตมีเหลือ หรือสภาพแวดล้อมทางธุรกิจมีความไม่แน่นอน จึงยังไม่ตัดสินใจลงทุน ที่สำคัญ ราคาหุ้นที่ปรับตัวลงต่ำสุดในรอบหลายปี จูงใจให้นำเงินมาซื้อหุ้นลงทุน เนื่องจากได้ประโยชน์มากกว่าผลตอบแทนที่ดี และยังทำให้โครงสร้างทางการเงินดีขึ้นด้วย อาทิ กำไรต่อหุ้น และ ROE เมื่อจำนวนหุ้นจดทะเบียนลดลง
ด้านบริษัทฟิทช์ เรทติ้งส์ กล่าวว่า ธนาคารไทยหลายแห่งมีการพิจารณาที่จะขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ ซึ่งเป็นการบ่งชี้ถึงแนวโน้มการปรับตัวเพิ่มขึ้นของระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ (risk appetite) ของธนาคารในภูมิภาคเอเชีย แม้ว่าแนวโน้มของการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ อาจส่งผลกระทบต่ออันดับเครดิตของธนาคารบางแห่ง ที่จะขยายการดำเนินงานไปในประเทศที่มีความเสี่ยงในด้านสภาพแวดล้อมในการดำเนินงานที่สูงขึ้น
อย่างไรก็ตามฟิทช์เชื่อว่าแนวโน้มธนาคารออกไปขยายธุรกิจยังต่างประเทศจะยังคงดำเนินต่อไปในช่วงปี 2563 เพราะดอกเบี้ยต่ำ แนวโน้มการเติบโตของสินเชื่อที่ไม่สูงนัก และการแข่งขันที่เข้มข้นภายในประเทศ เป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนให้ธนาคารหลายแห่งในภูมิภาคเอเชียมีระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้เพิ่มขึ้นในการเข้าซื้อกิจการและควบรวมกิจการ (M&A) กับธนาคารอื่นในต่างประเทศ นอกจากนี้ธนาคารยังมีความจำเป็นที่จะต้องให้บริการแก่ลูกค้าในประเทศของธนาคารที่มีการขยายธรุกิจไปยังต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วย