ปตท.ย่ำแย่ปิโตรฯ-โรงกลั่นร่วง IRPC-PTTGC ยันผลิตพลาสติกคุณภาพ

HoonSmart.com>>ปตท.เหนื่อย ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ 48% ไทยออยล์ -ไออาร์พีซี-พีทีที โกลบอล เคมิคอล ได้รับผลกระทบจากธุรกิจขาลง โรงกลั่นเจอราคาน้ำมันเพิ่ม หวั่นขาดทุนสต็อกไตรมาส 1/63 ซ้ำค่าการกลั่นติดลบ ส่วนธุรกิจปิโตรเจอจีนยกเลิกหรือลดใช้ถุงพลาสติกแบบครั้งเดียวทิ้งในอีก 5 ปี บิ๊กไออาร์พีซี “นพดล ปิ่นสุภา” ยันไม่มีผล เพราะส่งออกเม็ดพลาสติกไปจีนป้อนผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นหลัก ส่วนพีทีที โกลบอล เคมิคอล วางแผนชัด 5 ปี (62-66) ลดผลิตสินค้าใช้ครั้งเดียวทิ้งให้เหลือศูนย์ บล.เอเซียพลัสคาดกระทบต่อ PTTGC-IVL-SCC -IRPC ส่วน ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบีแนะนำซื้อ TOP เป้า 79 บาท ราคาต่ำกว่าบุ๊ค  

บริษัทปตท.(PTT) อยู่ในภาวะขาลง บริษัทในเครือในกลุ่มพลังงาน โรงกลั่น และปิโตรเคมีกอดคอกันร่วงไม่หยุด ส่งผลกระทบต่อบริษัทแม่มาก เพราะถือหุ้นใหญ่ใน PTTEP ถึง 65% และถือหุ้นประมาณ 48% ทั้งใน TOP, IRPC และ PTTGC ขณะที่ GPSC ราคายังปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง แต่ช่วยปตท.ไม่ได้มากนัก เนื่องจากลงทุนเพียง 22%

เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2563 ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกร่วงลงแรงกว่า 2% กดดันหุ้น PTTEP ลดลง 1.53% ปิดที 129 บาท และกระทบต่อกลุ่มโรงกลั่นเต็มๆ ตลาดกังวลว่าผลงานไตรมาส 1/2563 จะย่ำแย่ ขาดทุนสต็อก ซ้ำเติมค่าการกลั่นติดลบ ทำให้ราคาหุ้นบริษัทไทยออยล์ (TOP) ดิ่งลงมาต่ำที่สุดในรอบเกือบ 5 ปี ปิดที่ 54.50 บาท รูดลง 3.50 บาท หรือ 6.03% บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) หรือ ESSO ซื้อขายที่ 6.75 บาท ติดลบ 0.20 บาทหรือ 2.88%

บล.เอเซีย พลัสรายงานค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (22 ม.ค.) อยู่ที่ -0.26 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน มี.ค.ในตลาดไนเม็กซ์วันที่ 22 ม.ค. ปิดที่ระดับ 56.74 ดอลลาร์/บาร์เรล ร่วงลง 1.64 ดอลลาร์ หรือ 2.8%

บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) วิเคราะห์ว่า หุ้นในกลุ่มโรงกลั่น มีปัจจัยลบหลายเรื่อง คาดผลงานไตรมาส 4/2562 จะไม่ดีจากค่าการกลั่นเฉลี่ยในระดับต่ำและการหยุดซ่อมบำรุงโรงกลั่นของบริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง (SPRC) แม้ว่าอาจจะมีกำไรจากสต็อกน้ำมันมาช่วยบางส่วนก็ตาม

นอกจากนี้ค่าการกลั่นยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่า 1 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ต่ำกว่าต้นทุนที่เป็นเงินสดของโรงกลั่นที่อยู่ที่ประมาณ 2-3 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล รวมถึงราคาน้ำมันที่ปรับลดลงแรงในเดือนม.ค.อาจจะมีผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันในไตรมาส 1/2563 ได้ และการเริ่มใช้มาตรการ IMO2020 ไม่เป็นไปในทิศทางบวกกับกลุ่มโรงกลั่นอย่างที่ตลาดคาดไว้ก่อนหน้านี้  ส่วนใหญ่ตลาดจะคาดว่า crack spread (ส่วนต่างราคาน้ำมันสำเร็จรูปลบด้วยราคาน้ำมันดิบ)ของดีเซลจะเพิ่มสูงขึ้นมากเป็น 18-25 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล แต่กลับเป็น crack spread diesel อยู่แค่ 12.7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจากเรือส่วนใหญ่หันไปเลือกใช้น้ำมันเตากำมะถันต่ำ (LSFO) แทนการใช้น้ำมันดีเซลและจีนสนับสนุนการส่งออก LSFO

อย่างไรก็ตามราคาหุ้นที่ปรับลดลงมาแรงจนทำให้ P/BV ของทั้ง TOP และ SPRC ลงมาที่ระดับ 1 เท่า ได้สะท้อนปัจจัยลบไปมากแล้ว  คาดว่าราคาหุ้นจะทยอยฟื้นตัวตาม crack spread น้ำมันดีเซลและเบนซินที่จะดีขึ้นในเดือนก.พ.-มี.ค. ด้วย downside risk ที่จำกัด จึงแนะนำ “ซื้อ”หุ้น TOP ให้ราคาเป้าหมาย 79 บาท และ SPRC เป้าหมาย 12.20 บาท

ส่วนธุรกิจปิโตรเคมี ราคาหุ้น IRPC ในระหว่างวันลงไปต่ำสุดถึง 2.94 บาท ก่อนปิดที่ 3 บาท เช่นเดียวกับ PTTGC ลงไปลึกที่สุด 49.50 บาท ก่อนปิดที่ 50.25 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลงจากวันก่อน

นาย นพดล ปิ่นสุภา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี (IRPC) เปิดเผยว่า บริษัทส่งออกเม็ดพลาสติกไปประเทศจีน เพื่อนำไปผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นหลัก  จึงไม่ได้รับผลกระทบจากกรณีทางการจีน มีแผนยกเลิกหรือลดการผลิต และลดการใช้ถุงพลาสติกที่ไม่ย่อยสลายตามธรรมชาติ รวมถึงพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งในอีก 5 ปี ข้างหน้า หรือภายในปี 2568

กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไออาร์พีซี กล่าวว่า บริษัทฯให้ความสำคัญกับการผลิตเม็ดพลาสติกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มุ่งวิจัยและพัฒนาสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม   เพื่อตอบสนองทั้ง เมกะเทรนด์และสังคมสูงวัย (Aging Society) โดยให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์ เม็ดพลาสติกที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ เช่น ยางพารา เศษไม้ และสีธรรมชาติ ซึ่งเป็นมิตรต่อทั้งผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม

นายปฏิภาณ สุคนธมาน ผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) เปิดเผยว่า บริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากกรณีที่จีนจะลดการใช้ถุงพลาสติก เนื่องจากตามแผนงาน 5 ปี (ปี 2562-2566) บริษัทได้ประกาศชัดเจนแล้วว่าจะลดการผลิตสินค้าประเภทใช้ครั้งเดียวทิ้งให้เหลือศูนย์ และจะหันพัฒนาผลิตภัณฑ์พลาสติกที่สามารถใช้ได้หลายครั้งทดแทน

“จีนประกาศนโยบายดังกล่าวออกมาในปีนี้ แต่ต้องถามว่าจีนจะมีผลิตภัณฑ์ใดทดแทน  อาจต้องใช้เวลา เพราะแม้ว่าจะยกเลิกการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว และหันมาใช้ถุงพลาสติกแบบใช้ซ้ำแทน ผู้ผลิตก็ต้องใช้เม็ดพลาสติกเพื่อทำให้ถุงหนาขึ้น แม้ว่าปริมาณขยะจะลดลง แต่ก็ยังมีความต้องการใช้เม็ดพลาสติกเพื่อผลิตให้หนาขึ้น ขณะเดียวกันบริษัทวางแผนที่ต้องการลดการผลิตพลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวเหลือศูนย์ภายในปี 2566 ก็จะสอดคล้องกับมาตรการของจีนเช่นกัน”นายปฏิภาณ กล่าว

ด้าน นาย ชาญชัย พันทาธนากิจ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส (ASP) กล่าวว่า กรณีของทางการจีนเรื่องพลาสติกฯ จะทำให้การผลิตลดน้อยลง ส่งผลต่อบริษัทจดทะเบียนที่ส่งออกไปยังจีน ได้แก่ PTTGC ,IVL ,SCC รวมถึง IRPC ที่อาจจะโดนผลกระทบดังกล่าวด้วย

ทั้งนี้ทาง บล.เอเซีย พลัส ให้มูลค่าเหมาะสม PTTGC ที่ 61 บาท ,IVL ที่ 37 บาท ,SCC ที่ 396 บาท และ IRPC ที่ 3.90 บาท

ด้านตลาดหุ้นวันที่ 23 มกราคม ตลาดเอเชียปรับตัวลงนำโดยจีน ร่วง 3% เพราความกังวลเรื่องโรคระบาด ส่วนไทยเก่ง ปิดที่ 1,573.70 จุด ลดลงเพียง 0.89 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายปานกลาง 61,983 ล้านบาท  โดยนักลงทุนสถาบันที่ขายหนักมา 3 วันติดต่อกัน เริ่มกลับมาซื้อจำนวน 316 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนรายย่อยยังคงซื้อต่อเนื่อง 1,207 ล้านบาท ต่างชาติขายเล็กน้อย 697 ล้านบาท