ศาลฎีกาตัดสินคดี “หงสา” สั่ง กลุ่มบ้านปู จ่าย 1.5 พันล้าน พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี

ศาลฎีกามีคำสั่งให้ “บ้านปู-บ้านปู เพาเวอร์-บ้านปู อินเตอร์เชั่นแนล” ชดใช้ค่าเสียหายคดีโรงไฟฟ้าถ่านหินลิกไนต์โครงการหงสา ประเทศลาว มูลค่า 1.5 พันล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี ตั้งแต่ เดือนก.ค.50

บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU แจ้งคำพิพากษาศาลฏีกาในคดีความแพ่งที่นายศิวะ งานทวีและพวก เป็นโจทก์ ฟ้องบริษัทฯ และบริษัทย่อยได้แก่ บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) บริษัท บ้านปู อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด และผู้บริหารเป็นจำเลย โดยกล่าวอ้างว่าร่วมกันละเมิดและเรียกค่าเสียหายเนื่องจากการละเมิดเพื่อประสงค์จะได้ข้อมูลสัมปทานเหมืองถ่านหินรวมทั้งรายงานการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินลิกไนต์ที่เมืองหงสา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (“โครงการหงสา”) ในวันที่ 6 มีนาคม 2561 เวลา9.00 นาฬิกา นั้น

ในวันนี้ ศาลแพ่งได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้คู่ความฟัง โดยศาลฎีกามีคำพิพากษาว่า 1. กรณีที่โจทก์กล่าวหาจำเลยว่า เข้าร่วมทำสัญญาพัฒนาโครงการเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูล โดยไม่มีเจตนาเข้าทำโครงการจริง ศาลพิจารณาว่าจำเลยมีความสุจริตในการเข้าทำสัญญาและมีเจตนาทำโครงการจริง มิใช่เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูล

2. กรณีที่โจทก์กล่าวหาจำเลยว่า จำเลยยกเลิกสัญญากับผู้รับเหมาเพื่อให้โครงการล่าช้า อันเป็นเหตุให้รัฐบาลลาวยกเลิกสัมปทานกับโจทก์ ศาลพิจารณาว่า จำเลยมีความสุจริตทำเพื่อประโยชน์ของโครงการ และรัฐบาลลาวมิได้ใช้เหตุนี้ในการยกเลิกสัมปทานกับโจทก์

3. กรณีที่โจทก์กล่าวหาจำเลยว่า จำเลยยุยงรัฐบาลลาว ให้ยกเลิกสัมปทานกับโจทก์ ศาลพิจารณาว่า จำเลยมีความสุจริต มิได้ยุยง การยกเลิกสัมปทานเป็นการตัดสินใจของรัฐบาลลาว เพื่อประโยชน์ของประชาชนลาว

4. กรณีที่โจทก์กล่าวหาจำเลยว่า จำเลยใช้ข้อมูลโครงการของโจทก์ ศาลพิจารณาว่า เป็นการใช้ข้อมูลที่มีมูลค่าของโจทก์จึงกำหนดให้ จำเลย จ่ายค่าใช้ข้อมูลเป็นจำนวนเงิน 1,500 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2550

ความรับผิดชอบในการจ่ายเงินตามคำพิพากษาของศาลนั้น บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท บ้านปู อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จะร่วมรับผิดชอบในจำนวนเท่าๆ กัน
บริษัทฯ ขอเรียนว่า บริษัทฯ บริษัทย่อย และผู้บริหารได้ดำเนินธุรกิจด้วยความสุจริต คำนึงถึงประโยชน์ของผู้ถือหุ้นและสังคมโดยรวมเป็นสำคัญตลอดมา

ทั้งนี้บริษัทฯจะปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลโดยจะทำการชำระเงินตามคำพิพากษาทั้งหมดให้เสร็จสิ้นโดยทันที การชำระเงินดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจปกติของบริษัทฯ แต่อย่างใด เนื่องจากผลคดีดังกล่าวมีความชัดเจนแล้ว บริษัทฯ จึงขอตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ทำการปลดเครื่องหมาย H และให้เปิดทำการซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทฯ รอบบ่ายของวันที่ 6 มีนาคม 2561 เพื่อซื้อขายตามปกติต่อไป