หุ้นปิโตร-ปันผลมาตามนัดฉลองปีใหม่ โลกมี 2 ข่าวดี กองทุนลุยซื้อ 5,107ลบ.

HoonSmart.com>> หุ้นวันแรกของปี 63 ปิดพุ่ง 15.98 จุด กลุ่มปตท.บวกแรงยกแผง เพิ่มมาร์เก็ตแคป 74,122 ล้านบาท หุ้นปันผลสูงได้รับความสนใจ เน้นอสังหาฯปลอดภัย ส่วนอิเล็กทรอนิกส์เจอขาย ราคาขึ้นมามากและเงินบาทอ่อน นำโดย KCE บล.ฟินันเซีย ไซรัส ยกสถิติ 5 ปี หุ้นเดือนม.ค. บวกเฉลี่ย 3.6% ให้เป้าปีนี้ 1,720 จุด

หุ้นวันแรกของปี 2563 (2 ม.ค.)ร้อนแรงเกินคาด ดัชนีปิดที่ระดับ 1,595.82 จุด เพิ่มขึ้น 15.98 จุด หรือ +1.01% มูลค่าการซื้อขาย 54,494 ล้านบาท ฝีมือสถาบันไทยซื้อสุทธิ 5,107 ล้านบาท ส่วนรายย่อยทำกำไร 4,398 ล้านบาท ต่างชาติขายเล็กน้อย 26 ล้านบาท  ทางด้านค่าเงินบาทกลับมาอ่อนค่าปิดที่ 30.14/16 บาทต่อดอลลาร์

มาร์เก็ตติ้งกล่าวว่า นักลงทุนแห่เข้าซื้อหุ้นพลังงาน ปิโตรเคมีหนาแน่น โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มปตท.ทำให้ราคาเพิ่มขึ้นถ้วนหน้า  มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด(มาร์เก็ตแปค)เพิ่มขึ้นในวันเดียวถึง 74,122 ล้านบาท เพราะปีที่ผ่านมากำไรผ่านจุดต่ำสุด ราคาหุ้นไม่ขยับและปีนี้รับข่าวดีสหรัฐเตรียมลงนามการค้าเฟสแรกกับจีนวันที่ 15 ม.ค.2563 และธนาคารกลางจีนประกาศปรับลดสัดส่วนการกันสำรองของสถาบันการเงิน (RRR) ลง 0.50%โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 6 ม.ค.เป็นต้นไป นอกจากนี้ยังมีแรงซื้อหุ้นธนาคาพาณิชย์ และอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะบริษัทที่มีการจ่ายเงินปันผลสูงสม่ำเสมอ

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟินันเซีย ไซรัสเปิดเผยว่า สถิติย้อนหลัง 5 ปีที่ผ่านมาหุ้นเดือน ม.ค. ให้ผลตอบแทนเป็นบวก เฉลี่ย 3.6% จากเดือนธ.ค.ปีก่อน และเป็นเดือนที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดของปี ปีนี้ก็มีโอกาสเป็นไปตามสถิติหนุนโดยบรรยากาศการค้าที่ผ่อนค้าและตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศหลักๆในโลกที่ค่อยๆดีขึ้น แต่ผลตอบแทนอาจน้อยกว่าในอดีตเพราะการเมือง มาตรการบัญชีใหม่ และภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เริ่มใช้ตั้งแต่ต้นปี

” ปี 2563 เศรษฐกิจไม่ถดถอย หุ้นจึงเป็นสินทรัพย์ที่ลงทุนได้ ตลาดหุ้นเอเชียปีนี้น่าจะให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาดหุ้นสหรัฐ แต่เศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวแบบอ่อนๆและยังต่ำกว่าศักยภาพมาก จึงประเมินเป้าหมายสิ้นปีที่ 1,720 จุด คาดกำไรต่อหุ้นโต 9.5% อิง P/E 17 เท่า มี upside เพียง 8% จากปัจจุบัน”

กลุ่มที่ชอบในปีนี้ได้แก่ กลุ่มการแพทย์ ค้าปลีก เกษตรและอาหาร ไฟแนนซ์ สื่อสาร และรับเหมาก่อสร้าง กลุ่มที่มองเป็นกลางคือ ธนาคาร ท่องเที่ยว อสังหาฯ และอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มที่มีมุมมองเป็นลบ ได้แก่กลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี ประกัน และยานยนต์

บล. ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) คาดดัชนีในปี 2563 จะยังคงผันผวน ประเมินเป้าหมายไว้ที่ 1,720 จุด ซึ่งมี Upside จากสิ้นปี 2562 ที่ 1579.84 เท่ากับ 8.8%

สำหรับกลยุทธ์ เลือกลงทุนหุ้นที่อยู่ใน Mega Trend โดยทยอยซื้อสะสมเป็น Step ซึ่ง 6 ธีมและหุ้นเด่น เป็นดังนี้

ธีมดิจิตอล – หุ้นเด่น ADVANC, DIF

ธีมโครงสร้างพื้นฐาน & ขนส่งมวลชน – หุ้นเด่น BTS, AMATA, WHA

ธีมท่องเที่ยว – หุ้นเด่น AOT, CPALL

ธีมโลจิสติกส์ & คลังสินค้า – หุ้นเด่น AIMIRT, VGI (Kerry Express)

ธีมสังคมสูงวัย – หุ้นเด่น BDMS, CHG

ธีมรถยนต์ไฟฟ้า & พลังงานทางเลือก – หุ้นเด่น GPSC

ส่วนราคาหุ้น KCE (บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์) ปรับตัวลงแรงสวนตลาด ปิดที่ 23.20 บาท ร่วงลง 1.30 บาทหรือ 5.31% และHANA (บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส ) ปิดที่ 33.25 บาท ลดลง 1.25 บาท หรือ -3.62%

บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส ระบุว่า เงินบาทแข็งค่า เป็น Downside ต่อแนวโน้มกำไรสุทธิปี 2563 ของกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ราว 6% จากปัจจุบัน ขณะที่สงครามการค้ายังไม่คลี่คลาย จึงยังไม่เห็นตัวเลือกที่น่าสนใจให้เข้าลงทุน แนะนำลงทุน “น้อยกว่าตลาด”

ฝ่ายวิจัยประเมินว่าค่าเงินบาทที่แข็งค่าจะทำให้ประสิทธิภาพการทำกำไรของกลุ่มชิ้นส่วนฯ ลดลงเนื่องจากมีรายได้เกือบทั้งหมดมาจากสกุลเงินต่างประเทศ และยังทำให้ความสามารถในการแข่งขันกับคู่แข่งในประเทศเพื่อนบ้านลดลงด้วยเช่นกัน เพราะต้นทุนการผลิตของไทยจะสูงขึ้น  ขณะที่ความกังวลสงครามการค้าแม้จะเริ่มมีทิศทางผ่อนคลายขึ้นบ้าง แต่ก็ยังไม่ชัดเจน ทำให้ฝ่ายวิจัยประเมินว่าลูกค้าต่างประเทศจะดำเนินธุรกิจแบบระมัดระวังมากขึ้นในปี 2563 โดยการชะลอคำสั่งซื้อลง และเร่งระบายสินค้าในสต็อกสินค้าคงเหลือออกไปก่อน

ด้านบล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่าหุ้น KCE, HANA ที่ปรับขึ้นมา 35-60% เกินพื้นฐานไปมากแม้ว่าสงครามการค้าจะดีขึ้นก็ตาม แต่ยังไม่จบ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวถึงค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นและมีการคาดการณ์ปีนี้ว่าจะหลุด 30 บาท/ดอลลาร์ ว่า ได้มีการหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มาโดยตลอด ซึ่งขณะนี้ได้มีการตั้งคณะกรรมการร่วมกันทั้งจากกระทรวงการคลัง ธปท. และหน่วยงานด้านเศรษฐกิจ เพื่อติดตามสถานการณ์เงินบาทอย่างใกล้ชิดและหามาตรการเสริมมาช่วยลดผลกระทบ