MFC มองเศรษฐกิจไทยดีขึ้น แต่ปัจจัยนอกกดหุ้นแกว่ง 1,700-1,850 จุด ส่งกองทุน “เอ็มเอฟซี ออมเกษียณทวีสุข เพื่อการเลี้ยงชีพ” เพิ่มทางเลือกลงทุประหยัดภาษี บริการซื้อหน่วยลงทุนสม่ำเสมอช่วยลดต้นทุนต่อหน่วย IPO วันนี้-15 มิ.ย.61
น.ส.ประภา ปูรณโชติ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี (MFC) กล่าวว่า เอ็มเอฟซีอยู่ระหว่างการเสนอขายครั้งแรกของกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี ออมเกษียณทวีสุข เพื่อการเลี้ยงชีพ ( M-TWSUK RMF ) เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับผู้สนใจลงทุนเพื่อใช้ในการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน สามารถนำไปใช้ลดหย่อนภาษีบุคคลธรรมดา และยังเปิดให้บริการซื้อหน่วยลงทุนแบบหักบัญชีสม่ำเสมอ เพื่อลดความผันผวนและช่วยลดต้นทุนต่อหน่วยได้
กองทุนมีนโยบายการลงทุนในประเทศในตราสารทุน ตราสารหนี้ เงินฝาก โดยกองทุนจะลงทุนในหุ้น กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ หน่วยทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉลี่ยในรอบบัญชีไม่เกิน 30% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ทั้งนี้กองทุนอาจลงทุนในตราสารทุนที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แต่จะไม่ลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) ตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง (Structured note) ตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าที่สามารถลงทุนได้ (Non-investment grade) และตราสารหนี้ที่ไม่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Unrated securities)
จากความเห็นของสายบริหารกองทุนของเอ็มเอฟซีมองสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยปัจจุบันและแนวโน้ม โดยคาดการณ์ว่าแนวโน้ม SET Index ในช่วงที่เหลือของปี 2561 นี้คาดว่าจะแกว่งตัวในกรอบดัชนี 1700 – 1850 จุด โดย Upside ที่สำคัญได้แก่ ความชัดเจนในการเลือกตั้ง ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องมายังความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการธุรกิจและนักลงทุนต่างชาติ
แนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่ดีขึ้นทั้งภาคกครารส่งออก การท่องเที่ยว และการบริโภคภายในประเทศ ราคาน้ำมันที่คาดว่าจะทรงตัวอยู่ในระดับสูง จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และแนวโน้มอุปทานที่น่าจะยังคงมีจำกัด รวมถึงสภาพคล่องในประเทศที่อยู่ในระดับสูง สะท้อนจากการเติบโตของฐานเงินที่ทำสถิติใหม่อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้หลังจากที่ SET Index ปรับตัวลงมากว่า 5% นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทำให้ล่าสุด Valuation ของตลาดหุ้นไทยเริ่มที่จะมีความน่าสนใจมากขึ้น (Forward PE ปี 62 ที่ 14.5 เท่า)
อย่างไรก็ตาม Upside ของดัชนียังคงถูกจำกัดด้วยแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) ทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้ความน่าสนใจของตราสารหนี้มีมากขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดหุ้น สำหรับปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามในช่วงถัดไปได้แก่ นักลงทุนส่วนใหญ่คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ 3 ครั้ง แต่หาก Fed เริ่มส่งสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยครั้งที่ 4 มีโอกาสที่ Bond yield และเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จะปรับตัวสูงขึ้น และจะส่งผลกดดันต่อกระแสเงินทุนต่างชาติ
กองทุนเปิด M-TWSUK RMF เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการออมเงินเพื่ออนาคตในวัยเกษียณ ผู้ที่ต้องการสิทธิประโยชน์ทางภาษี ลูกจ้างหรือผู้ประกอบอาชีพอิสระที่ไม่มีระบบบำเหน็จบำนาญ หรือลูกจ้างที่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือข้าราชการที่อยู่ในระบบบำเหน็จบำนาญที่ต้องการลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษีเพิ่มเติม ซึ่งสามารถลงทุนในระยะกลางถึงระยะยาวโดยคาดหวังผลตอบแทนในระยะยาวที่ดีกว่าการลงทุนในตราสารหนี้ สามารถรับความผันผวนของราคาหุ้นที่กองทุนไปลงทุนซึ่งอาจปรับตัวสูงขึ้นหรือลดลงต่ำกว่ามูลค่าที่ลงทุนและทำให้ขาดทุนได้
สำหรับผู้สนใจสามารถลงทุนขั้นต่ำครั้งแรกได้ตั้งแต่ 2,000 บาท