HoonSmart.com>>บล.เอเซียพลัสวิเคราะห์ผลหากมีการเปลี่ยน “กองทุนรวมหุ้นระยะยาว” เป็น “กองทุนหุ้นยั่งยืน” เงินลงทุนกระจุกอยู่ที่ 53 บริษัท ดัชนี SETTHSI และ 8 กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน พบว่า 20 หุ้นมีโอกาสเพิ่มน้ำหนัก เทเข้า AOT มากที่สุด ตามด้วย PTT-ADVANC มี 4 หุ้นร่วมแจมด้วยรอบใหม่ ส่วนนโยบายถือ 7 ปีปฎิทิน มีเฮ ปี 2563-2564 ไม่มีเงิน LTF รอถล่มหุ้นต้นปีเหมือนที่ผ่านมา
นายภราดร เตียรณปราโมทย์ ผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.เอเซียพลัส (ASP) วิเคราะห์ว่า กรณีรัฐบาลมีแนวคิดที่จะนำกองทุนหุ้นยั่งยืน (SEF) มาใช้แทนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) มีนโยบายลงทุนในหุ้นไทยไม่น้อยกว่า 65% เท่ากัน แต่แตกต่างกัน ตรงที่ กองทุน SEF ลงทุนได้เฉพาะหุ้นที่มีความยั่งยืน หุ้นที่มีธรรมาภิบาล และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเท่านั้น จากข้อมูลขณะนี้ จะลงทุนหุ้นได้จำนวน 53 บริษัท ดัชนี SETTHSI และ 8 กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน มี 20 หุ้นที่มีโอกาสเพิ่มน้ำหนัก โดยเฉพาะ AOT มากที่สุดถึง 5.59% เพื่อให้มีน้ำหนักใหม่ 10.45% ตามด้วย PTT เพิ่มขึ้น 4.75% เป็น 13.23% และ ADVANC เพิ่ม 2.87% เป็น 6.49% เปรียบเทียบกับการลงทุนของกองทุน LTF แบบเดิมที่ลงทุนกระจายในหุ้นทั้ง SET และ mai รวม 780 บริษัท มีน้ำหนักหุ้น AOT จำนวน 4.86% PTT 8.48% และ ADVANC 3.63%
ขณะเดียวกันมีหุ้น 4 บริษัทที่ LTF ไม่เคยลงทุนมาก่อน และมีโอกาสเพิ่มการลงทุน หากนำกองทุน SEF มาใช้แทน ได้แก่ PTG น้ำหนัก 0.30% JWD 0.09% THCOM และ PM น้ำหนักเท่ากัน 0.05%
นอกจากนี้ กองทุน SEF ยังมีการปรับปรุงเงื่อนไขของผู้ที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี เป็นไม่เกิน 30%ของรายได้ หรือไม่เกิน 2.5 แสนบาท ทำให้เม็ดเงินที่เข้ามาลงทุนมีจำนวนน้อยลง จากกองทุน LTF ให้ไม่เกิน 15% ของรายได้แต่สูงสุดถึง 5 แสนบาท
ขณะเดียวกัน ผลจากการขยายระยะเวลาถือครองจาก 5 ปีปฎิทินเป็น 7 ปีปฎิทิน ส่งผลให้ในปี 2563 และ 2564 ไม่มีเม็ดเงินของกองทุน LTF ครบกำหนด หมายความว่าไม่มีการขายหุ้นในช่วงต้นปีเหมือนที่ผ่านมา แต่ต้องระวังเม็ดเงินจะออกมากระจุกตัวในปี 2565 คาดว่ายอดซื้อ LTF เฉลี่ย 3 ปีล่าสุด (2559-2561) อยู่ที่ 6.6 หมื่นล้านบาท และยอดขายคืนเฉลี่ย 3 ปี ล่าสุดเช่นกันอยู่ที่ 4.53 หมื่นล้านบาท
ณ สิ้นเดือนส.ค. 2562 มูลค่าทรัพย์สินของกองทุน LTF มีทั้งสิ้น 3.92 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 51% ของกองทุนรวมหุ้นไทยทั้งหมด มูลค่า 7.71 แสนล้านบาท