เซ็นทรัล รีเทลฯ ยื่นไฟลิ่ง IPO 2.23 พันล้านหุ้น จ่อลงทุน 26,837 ลบ.

HoonSmart.com>>เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น ค้าปลีกรายใหญ่  มีร้านค้าที่สำคัญในไทย 1,912 ร้านค้า แบรนด์ค้าปลีกในเวียดนาม 131 ร้านค้า ห้างสรรพสินค้าในอิตาลีใหญ่ที่สุด  9 สาขา ระดมเงินใช้ขยายสาขาใน-ตปท. คืนหนี้เงินกู้  ตั้งเป้าลงทุนครึ่งหลังปีนี้  8,400 ล้านบาท ปี 2563 อีกประมาณ 18,437 ล้านบาท เร่งสร้างรายได้  กำไรปีก่อน 10,609 ล้านบาท รายได้มากกว่า 2 แสนล้านบาท  ครึ่งปีนี้เก็บไว้แล้ว 106,074 ล้านบาท  กำไร 4,202 ล้านบาท

บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (CRC) ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เมื่อวันที่ 1 ต.ค.2562 เสนอขายหุ้นให้ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 2,231,714,300 หุ้น แบ่งเป็นหุ้นเพิ่มทุนใหม่ 1,620 ล้านหุ้น และหุ้นเดิมที่ถือโดย Hawthorn Resources  Limited จำนวน 611,714,300 หุ้น เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) มี บล.ภัทร และ บล.บัวหลวง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน วัตถุประสงค์ของการขาย IPO เพื่อใช้ขยายสาขาทั้งในและต่างประเทศ  ปรับปรุงสาขาต่าง ๆ ใช้ชำระคืนหนี้เงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ

บริษัทจะเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนควบคู่ไปกับการทำคำเสนอซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัทห้างสรรพสินค้าโรบินสัน (ROBINS) เพื่อเพิกถอนหลักทรัพย์ของ ROBINS ออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนตามแผนการปรับโครงสร้างธุรกิจ  โดยจะจัดสรรหุ้นส่วนหนึ่งเป็นค่าตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้น ROBINS ที่ตอบรับคำเสนอซื้อหุ้นแทนการชำระด้วยเงินสด (Share Swap) ปัจจุบัน ROBINS มีหุ้นทั้งหมด 1,110,661,133 หุ้น  ผู้ถือหุ้นใหญ่ถือหุ้นทั้งทางตรงและทางอ้อมจำนวน 597,808,148 หุ้น คิดเป็น 53.83% ของหุ้นทั้งหมดบริษัทจะทำคำเสนอซื้อในราคาหุ้นละ 66.5 บาท

สำหรับเซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น ประกอบธุรกิจถือหุ้นในบริษัทอื่น (โฮลดิ้ง) กลุ่มบริษัทเป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีกสินค้าหลากหลายประเภทผ่านรูปแบบและช่องทางที่หลากหลาย (Multi-format and Multi-category) ในประเทศไทย และมีการขยายธุรกิจไปต่างประเทศ โดยเป็นผู้นำในประเทศอิตาลี และเป็นหนึ่งในผู้นำในประเทศเวียดนาม นอกจากนี้  ยังเป็นผู้บุกเบิกธุรกิจค้าปลีกในรูปแบบ Omni-channel ในประเทศไทย ๊ วันที่ 30 มิ.ย. 2562 บริษัทมีแบรนด์ค้าปลีกที่สำคัญในประเทศไทย 1,912 ร้านค้า มีร้านค้าภายใต้แบรนด์ค้าปลีกในเวียดนาม 131 ร้านค้า และมีห้างสรรพสินค้าในอิตาลีจำนวน 9 สาขา ถือเป็นผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้าใหญ่สุดในอิตาลี จากรายงานของ Euromonitor International เมื่อพิจารณาจากส่วนแบ่งทางการตลาด

ปัจจุบันแบ่งธุรกิจเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มแฟชั่น2. กลุ่มฮาร์ดไลน์ เน้นสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และสินค้าตกแต่งและปรับปรุงบ้าน และ 3.กลุ่มฟู้ด จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคและสินค้าที่มักพบได้ทั่วไปในร้านสะดวกซื้อ โดยวางแผนงานในอนาคตที่จะเพิ่มขีดความสามารถและขยายธุรกิจเพื่อเพิ่มรายได้ บริษัทคาดว่าจะมีรายจ่ายสำหรับครึ่งหลังของปี 2562 ประมาณ 8,400 ล้านบาท และในปี 2563 อีกประมาณ 18,437 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 26,837 ล้านบาท

ทางด้านผลการดำเนินงานในรอบ 3 ปี (2559-2561) บริษัทมีรายได้รวม  176,281 ล้านบาท, 187,998 ล้านบาท และ 206,078 ล้านบาท ตามลำดับ กำไรจากการดำเนินงาน 7,823 ล้านบาท, 7,570 ล้านบาท และ 10,609 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วน 6 เดือนปี 2562  มีรายได้รวม 106,074 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,650 ล้านบาท คิดเป็น 3.56% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 102,424 ล้านบาท  ส่วนใหญ่ มาจากรายได้จากการขายสินค้าผ่านช่องทางที่หลากหลาย  รวมถึงการขายในร้านค้า ทางออนไลน์ Omni-channel และผ่านเคาน์เตอร์จำหน่ายสินค้า ขณะที่มีกำไร 4,202 ล้านบาท ลดลง 2,736 ล้านบาท หรือหายไปประมาณ  39.43%จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 6,938 ล้านบาท
ณ วันที่ 30 มิ.ย.2562 สินทรัพย์รวมอยู่ที่  182,607 ล้านบาท หนี้สินรวม   117,106 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น  65,501 ล้านบาท

ณ วันที่ 6 ก.ย.2562 บริษัทมีทุนเรียกชำระแล้ว  4,700  ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1  บาท  ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท ประกอบด้วย HCDS ถือหุ้น 2,114,284,890 หุ้น คิดเป็น 45%, Hawthorn Resources Limited ถือหุ้น 611,714,300 หุ้น คิดเป็น 13%, กลุ่มนายณรงค์ฤทธิ์ และนางวันทนีย์ ถือหุ้น 97,264,980 หุ้น คิดเป็น 2.1% บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิจากงบการเงินรวม