ศูนย์วิจัยกสิกรฯคาดศก.ปี 63โตไม่ถึง 3% โรงพยาบาล-บริการ-อี คอมเมิร์ช เด่น

HoonSmart.com>>นักลงทุนวางแผนรับมือความผันผวนของโลกการลงทุนในปี 2563 แล้วหรือยัง?

บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังไม่เห็นสัญญาณที่ดีขึ้นไปกว่าปีนี้เลย ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์นำเสนอหุ้นที่อยู่ในดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ ( DJSI) จำนวน 20 บริษัท ที่ให้อัตราผลตอบแทนเฉลี่ย 24% ต่อปี ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา ดีกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์โดยรวม

บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย ปรับลดประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจในปี 2562 ลงเหลือ 2.8% ส่วนปีหน้ามีความเสี่ยงจะโตต่ำกว่า 3% เกิดจากส่งออกหดตัวถึง 2% แย่กว่าปีนี้ที่คาดว่าจะติดลบ 1% เพราะนอกจากปัจจัยลบเดิมๆ ไม่ว่าจะเป็นเงินบาทยังมีแรงกดดันให้แข็งค่าขึ้น สงครามการค้าสหรัฐ-จีน คาราคาซังตลอดทั้งปี ทำให้ส่งออกไทยสูญเสียประมาณ 1,000-2,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากได้รับกระทบไปแล้วในปีนี้ ประมาณ 2,100-3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แถมยังเจอสถานการณ์ Brexit เข้ามากระทบ มีความเป็นไปได้สูงที่เศรษฐกิจสหราชอาณาจักรจะถดถอย หลังจากออกจากสหภาพยุโรปหรืออียู แบบ No Deal

“ณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า ในปี 2563 ธุรกิจดาวเด่น น่าจะเป็นโรงพยาบาลเอกชน ธุรกิจบริการ เช่น ท่องเที่ยว และอี คอมเมิร์ช เพราะธุรกิจมีการใช้ออนไลน์มากขึ้น มีผลดีต่อโลจิสติกส์

ส่วนการปรับลดประมาณการเศรษฐกิจโตต่ำกว่า 3% ตั้งอยู่บนเงื่อนไขและปัจจัยแวดล้อมที่ประเมินได้ขณะนี้ คาดว่า มาตรการ “ชิม ช้อป ใช้” มีผลต่อเศรษฐกิจเพียง 0.02% ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)จะปรับลดดอกเบี้ยลงอีก 1 ครั้งในปีนี้ ปีหน้าตลาดคาดลดอีก 1 ครั้ง เช่นเดียวกับดอกเบี้ยในประเทศ มีโอกาสลง 1 ครั้งในปีนี้และปีหน้าอีก 1 ครั้ง ราคาน้ำมันดิบอยู่ที่ 68-69 ดอลลาร์/บาร์เรล ในปี 2563 จะต้องติดตามว่ารัฐจะมีมาตรการทางการคลังอะไรออกมาเพิ่มเติมหรือไม่

หากรัฐคิดจะออกมาตรการอะไร ควรที่จะตั้งโจทย์ มองเห็นปัญหาจะช่วยกลุ่มไหน มีเป้าหมายชัดเจน เพื่อที่จะช่วยได้ทันเวลาและเห็นผลสำเร็จมากขึ้น เสนอว่าควรจะเน้นดูแลแรงงานที่ไม่มีหลักประกันทางสังคมรองรับ เช่นกลุ่มอาชีพอิสระ เอสเอ็มอีที่ยอดขายชะลอตัวลง จากการสำรวจภาวะเศรษฐกิจของครัวเรือน เริ่มเห็นบริษัทปรับตัว ลดเวลาการทำโอที ชะลอการรับพนักงานใหม่ ตัวเลขเลิกจ้างเพิ่มขึ้น เป็น 4.5% เทียบกับเดือนม.ค.2561 อยู่ที่ 1.9% เท่านั้น

“ตอนนี้นักธุรกิจไม่ลงทุนใหม่ อยากรอดูความชัดเจนใน 2-3 ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไรก่อน หากรัฐต้องการให้โตไม่ต่ำกว่า 3% จะต้องออกมาตรการการคลังเพิ่มขึ้น ซึ่งเห็นผลชัดเจนและเร็วกว่ามาตรการทางการเงิน เพื่อรองรับผลกระทบจากความเปราะบางของเศรษฐกิจในปีนี้ ขณะนี้ไม่แน่ใจว่าธุรกิจจะยืนไหวหรือไม่ ไม่อยากเห็นภาพธุรกิจอยู่ไม่ได้ เสนอว่าควรจัดตั้งกองทุน ปัดฝุ่นมาตรการการคลัง และประชาสัมพันธ์ ห่วงผู้ที่มีรายได้มากกว่า 1 แสนบาท/เดือน ที่มีภาระเลี้ยงดูครอบครัว ภาระผ่อนชำระค่าบ้าน หากตกงานแล้วจะหางานใหม่ยากมาก

“ศิวัสน์ เหลืองสมบูรณ์” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า ในปี 2563 ภาคส่งออกไทยยังคงได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากสงครามการค้า และเผชิญกับค่าเงินบาทที่ไม่แน่นอน ผู้ประกอบการจะต้องระวังความผันผวน ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน ขณะเดียวกันต้องเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน เชื่อมต่อเวทีโลก นำเทคโนโลยี ดิจิทัลมาช่วยมากขึ้น อย่างไรก็ตามสินค้าไทยมีส่วนเกี่ยวข้องกับห่วงโซ่การผลิตจีนเฉพาะอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น

ส่วนสถานการณ์ Brexit มีความเป็นไปได้สูงที่สหราชอาณาจักรคงต้องออกจากสหภาพยุโรปหรืออียู แบบ No Deal อังกฤษต้องจ่ายภาษีนำเข้าสินค้าจากอียู จึงมีความเป็นไปได้สูงที่เศรษฐกิจสหราชอาณาจักรจะถดถอย หลังมีการย้ายฐานการผลิต เช่น บริษัทรถยนต์ ส่งผลให้ค่าเงินปอนด์ผันผวน และเงินเฟ้อสูงขึ้น ส่วนไทยส่งออกไปอียูเพียง 2% เท่านั้น แต่การส่งออกอาหารสดไปอังกฤษผ่านทางท่าเรือเนเธอร์แลนด์ตรงไปอังกฤษ ต้องยอมรับค่าใช้จ่ายสูงขึ้นในการออกของ

ทางด้านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เผย 20 หุ้นยั่งยืนไทยติดดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ หรือ DJSI ให้ผลตอบแทน 370% หรือเฉลี่ย 24% ต่อปี ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา(สิ้นปี 2547 – 20 กันยายน 2562) สูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ผลตอบแทนเฉลี่ย 274% หรือ 18% ต่อปี หลังจากจัดทำพอร์ตจำลองที่ประกอบด้วย 20 หลักทรัพย์ที่เข้า DJSI ในปี 2562 ซึ่งคำนวณถ่วงน้ำหนักมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด

ภาวะการซื้อขายหุ้นวันที่ 1 ต.ค. 2562 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ยังคงปรับตัวลงแรง 13.13 จุด หรือ 0.80% ปิดที่ระดับ 1,624.09 จุด ด้วยมูลค่าซื้อขายเพียง 40,854.85 ล้านบาท เกิดจากต่างชาติขาย 1,486 ล้านบาท และสถาบันไทยทิ้ง 2,390 ล้านบาท

ค่าเงินบาทอ่อนตัวปิดที่ 30.65/66 บาท/ดอลลาร์ จากช่วงเช้าที่เปิดตลาดที่ระดับ 30.58 บาท/ดอลลาร์ กระทรวงพาณิชย์รายงานอัตราเงินเฟ้อในเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 0.32% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งถือว่าค่อนข้างต่ำ และราคาทองคำมีความผันผวน มีการเปลี่ยนแปลง 6 ครั้ง รวม ลดลงบาทละ 250 บาท ทองคำแท่งรับซื้อที่ 21,250 บาทและขายออก 21,350 บาท

นักลงทุนต้องศึกษาและหาข้อมูลมากขึ้น ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยเสี่ยงสูง  เพื่อบริหารเงินออมและเงินลงทุนให้งอกเงย แต่หากไม่แน่ใจ หรือไม่ต้องการขาดทุน แนวทางหนึ่งอาจจะพักเงินไว้ในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกองทุนโครงสร้างพื้นฐานไว้ก่อนก็น่าจะปลอดภัยกว่าลงทุนในตลาดหุ้น