เทมาเส็กขาย INTUCH 1.5 หมื่นลบ. ระวังทิ้งระเบิด พอร์ตกว่า 2 แสนล้าน

HoonSmart.com>>สิงคโปร์เป็นประเทศแรกในเอเชียที่เศรษฐกิจมีโอกาสติดลบในปีนี้ หลังจากไตรมาส 2 โตเพียง 0.1% ต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี จากส่งออกติดลบ 6% รัฐบาลจึงจำเป็นต้องหมุนเงินหาสภาพคล่องเข้าประเทศเป็นการด่วน เพราะคู่ค้าสำคัญคือสหรัฐอเมริกาและจีนยังตีกันไม่เลิก

แหล่งเงินทุนขนาดใหญ่ที่มา“ง่ายและเร็ว” น่าจะมาจาก “เทมาเส็ก” ถือหุ้นโดยรัฐบาลสิงคโปร์ ทำหน้าที่ดูแลรัฐวิสาหกิจและการลงทุนทั่วโลก ผ่านกองทุนเพื่อการลงทุนของรัฐบาลสิงคโปร์ (CIG) ที่ผ่านมาได้ออกไปหาซื้อหุ้นดี ๆ ราคาถูกในต่างประเทศ ซึ่งให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ามาก  ในแต่ละปีส่งเงินปันผลมหาศาลกลับประเทศ แถมมูลค่าเงินลงทุนก็เพิ่มขึ้น ที่สำคัญมีสภาพคล่องสูง สามารถขายออกง่ายได้ราคาที่เหมาะสมด้วย

หนึ่งในนั้นคือหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หากใช้ราคาปิด ณ วันที่ 15 สิงหาคม 2562 ประเมินค่าพอร์ตของ CIG  จะมีมูลค่าสูงถึง 229,058 ล้านบาท

ไม่รวม   1.56 หมื่นล้านบาท  ซึ่งเทมาเส็กเพิ่งประสบความสำเร็จในการขายหุ้นบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ (INTUCH) บิ๊กล็อตบนกระดานปกติ-กระดานต่างประเทศรวม 257.09 ล้านหุ้น ราคาเฉลี่ยหุ้นละ 60.75 บาท  เป็นเรื่องธรรมดาที่จะได้ราคาต่ำกว่าตลาด คิดเป็นส่วนลดประมาณ 5.81% จากราคาปิดวันก่อนที่ 64.50 บาท กดดันราคาในตลาดลงมาปิดที่ 61.25 บาท ติดลบ 5.04%

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2562 GIC เพิ่งขายหุ้น บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH) ทั้งหมด  7% ได้เงินสดๆ สูงเฉียด 1 หมื่นล้านบาท  ไม่รวมการขายหุ้นอื่นๆ อีกหลายตัว เช่น บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์( QH) ก่อนหน้านี้

การขายหุ้น INTUCH ครั้งนี้ เทมาเส็กยังมีหุ้นเหลือติดพอร์ต เมื่อพิจารณาจากโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ มี SINGTEL GLOBAL INVESTMENT PTE. LTD ของรัฐบาลสิงคโปร์ ถือหุ้นอันดับหนึ่ง 21% จำนวน 673.34 ล้านหุ้น

เทมาเส็ก ได้หุ้น บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ มาตั้งแต่ปี 2549 เกิดดีลประวัติศาสตร์ ซื้อหุ้นจากตระกูลชินวัตรทั้งหมด  49.62% จ่ายเงินประมาณ 7.9 หมื่่นล้านบาท ราคาหุ้นละ 49.25 บาท

นอกจากได้บริษัทโฮลดิ้งส์แล้ว ยังได้บริษัทลูกๆ ที่แข็งแรง เข้ามาถือหุ้นใหญ่  ธุรกิจมือถือ  เบอร์ 1 บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) และธุรกิจดาวเทียม บริษัทไทยคม (THCOM) ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องต่างชาติเข้ามาครอบงำธุรกิจที่เป็นความมั่นคงของประเทศ จนมีการเปลี่ยนให้ “รายใหม่”เข้ามาถือหุ้นแทน และมีการขายหุ้นลดสัดส่วนออกมาหลายครั้ง

ส่วนหุ้นในพอร์ตอีกหลายบริษัท มูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาทนั้น เป็นราคาในปัจจุบัน แต่ต้นทุนต่ำกว่านี้มาก เพราะเทมาเส็ก กระโดดเข้ามาเก็บในตลาดหุ้นไทย หลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 หรือเหตุการณ์ต้มยำกุ้ง เข้าช่วยเพิ่มทุนให้กับบริษัทจดทะเบียนหลายแห่ง เช่น ธนาคารพาณิชย์ บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์

ปัจจุบันเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 แบงก์ใหญ่ ได้แก่ ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) สัดส่วน 1.70% มูลค่า 6,311 ล้านบาท ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) 0.85 %มูลค่า 3,460 ล้านบาท และธนาคารกรุงเทพ (BBL) 0.95% มูลค่า 3,034 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังถือหุ้นใหญ่ในบริษัทพลังงานหลายแห่ง อาทิ บริษัทปตท.(PTT) บริษัทไทยออยล์ (TOP) และบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) ยังไม่รวมหุ้นสาธารณูโภคต่างๆ

การตัดสินใจขายหุ้น INTUCH ครั้งนี้ ดูเหมือนเป็นการส่งสัญญาณของ”เทมาเส็ก” ที่ต้องการลดพอร์ตลงทุนในหุ้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลต้องการเงินตราต่างประเทศเข้าประเทศสิงคโปร์ในคราวเศรษฐกิจถดถอย หรือว่า ต้องการขายเพื่อเก็บกำไร ผลกระทบคงจะเกิดขึ้นกับผู้ถือหุ้นในบริษัทเหล่านั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นักลงทุนจะต้องติดตามข้อมูล เพราะบิ๊กล็อตจะกดราคาซื้อต่ำกว่าในตลาด แต่เชื่อว่าจะมีผลกระทบเพียงช่วงสั้นๆ เท่านั้น หากเป็นบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดี!!