HoonSmart.com>> “บี.กริม เพาเวอร์” โชว์ผลงานไตรมาส 2/2562 กำไรสุทธิ 626 ล้านบาท เติบโต 191% รับรู้โรงไฟฟ้าเวียดนาม 677 MW และโรงไฟฟ้าน้ำแจ 1 แถมรับรู้โรงไฟฟ้า SPP1 เต็มไตรมาส ยืนยันโรงไฟฟ้าในเวียดนามไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาสายส่ง การเชื่อมต่อ grid เดินหน้าก่อสร้างโรงไฟฟ้าขยะ บอร์ดอนุมัติจ่ายปันผล 0.15 บาทต่อหุ้น โชว์ศักยภาพติดอันดับหุ้นยั่งยืน ESG 100 ต่อเนื่อง 2 ปีซ้อน
นางปรียนาถ สุนทรวาทะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บี.กริม เพาเวอร์ (BGRIM) เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2562 มีรายได้จากการขายและการให้บริการ เป็น 10,866 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 23.4% โดยมีสาเหตุหลักมาจาก กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น 989 เมกะวัตต์ ในช่วงระยะเวลาประมาณตั้งแต่ไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้ามาจนถึงไตรมาส 2/2562 จากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ 12 โครงการ (โครงการโรงไฟฟ้าแบบ SPP 2 โครงการ, โครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทย 7 โครงการ, โครงการน้ำแจ 1 ใน สปป. ลาว และโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในเวียดนาม 2 โครงการ) รวมไปถึงการซื้อหุ้นของบริษัท บี.กริม ยันฮี โซลาร์ เพาเวอร์เพิ่มเติมเป็น 100% ในเดือน กรกฎาคม 2561 และการเข้าซื้อโครงการ SPP1 จาก บมจ. โกลว์ พลังงาน ในเดือน มีนาคม 2562 และ 3) การปรับขึ้นของราคาขายไฟฟ้าต่อหน่วย
ขณะที่กำไรสุทธิจากงบการเงินรวมอยู่ที่ 1,038 ล้านบาท เป็นส่วนของผู้ถือหุ้นใหญ่ที่ 626 ล้านบาทสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 191.2% และเติบโตจากไตรมาสก่อนหน้า 17.7% หากไม่รวมกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงและรายการที่ไม่เกิดขึ้นประจำแล้ว บริษัทมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานจากงบการเงินรวมไตรมาส 2/2562 อยู่ที่ 886 ล้านบาท เป็นส่วนของผู้ถือหุ้นใหญ่ที่ 557 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 25.7%จากไตรมาสก่อนหน้า มีสาเหตุหลักมาจาก การดำเนินงานของโรงไฟฟ้าใหม่โครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศเวียดนาม 2 โครงการรวมกำลังการผลิต 677 เมกะวัตต์และโครงการน้ำแจ 1 กำลังการผลิต 15 เมกะวัตต์ รวมไปถึงการรับรู้ผลดำเนินงานเต็มไตรมาสของโครงการ SPP1 อีกทั้งราคาก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยลดลง 2.4% ขณะที่ค่า Ft คงที่ และมีการปรับปรุงประสิทธิภาพของโครงการ SPP อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้บริษัทยืนยันว่าโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในเวียดนามได้แก่ DT1&2 ขนาด 420 เมกะวัตต์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิกาคอาเซียนและโครงการ Phu Yen TTP ขนาด 257 เมกะวัตต์ ซึ่งประสบความสำเร็จในการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ก่อนระยะเวลาที่กำหนดเมื่อเดือน มิถุนายน ที่ผ่านมาภายใต้งบประมาณที่ตั้งไว้นั้น ไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาระบบสายส่งและการเชื่อมต่อ grid ในพื้นที่บริเวณตอนกลางของประเทศเวียดนาม เนื่องจากโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ DT1&2 ตั้งอยู่ที่จังหวัด Tay Ninh ในภาคตะวันตกเฉียงใต้ (ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ไม่มีปัญหาสายส่ง) และโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ Phu Yen TTP ขายไฟฟ้าให้แก่ การไฟฟ้าเวียดนาม (EVN) ผ่านสายส่ง Tuy Hoa – Nha Trang 220kV ซึ่ง grid มีความพร้อมและเพียงพอที่จะรองรับการจำหน่ายไฟฟ้า ดังนั้นทั้ง 2 โครงการสามารถจำหน่ายไฟฟ้าและรับรู้รายได้จาก EVN เป็นปกติตั้งแต่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ โดยรับรู้รายได้แล้ว 183 ล้านบาทในไตรมาส 2/2562 ตามสัญญาซื้อขายไฟระยะเวลา 20 ปี กับ EVN ด้วยอัตรารับซื้อไฟฟ้าที่ 9.35 เซนต์ดอลลาร์สหรัฐต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง
ปัจจุบัน สัดส่วนกำลังการผลิตจากพลังงานหมุนเวียนได้เพิ่มขึ้นเป็น 30% จากเดิม 8% ในขณะที่สัดส่วนกำลังการผลิตจากโครงการในต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 25% จากเดิม 2% ตอกย้ำการเป็นบริษัทชั้นนำในระดับภูมิภาค โดยในขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาโครงการใหม่อีกเป็นจำนวนมากทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น ในประเทศเกาหลีใต้ เวียดนาม กัมพูชา ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย เป็นต้น
นอกจากนี้ยังเดินหน้าโครงการระหว่างก่อสร้างมีความคืบหน้าตามแผน คือโครงการโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม Interchem กำลังการผลิตติดตั้ง 4.8 เมกะวัตต์ มีความคืบหน้าในการก่อสร้าง 50.7% ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการเทเสาและทำระบบสายดินโดยมีกำหนดการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือน ธันวาคม 2562
ส่วนความคืบหน้าการพัฒนาโรงไฟฟ้าใหม่ทดแทนโรงไฟฟ้าเดิม บริษัทมีโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม 5 โครงการที่เข้าเกณฑ์การสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ทดแทนโรงไฟฟ้าโรงไฟฟ้าเดิมที่ให้โครงการ SPP ที่จะหมดอายุสัญญาในระหว่างปี 2560-2568 สามารถสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้า 25 ปี วางกำหนดการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2565 ซึ่งจะมีการนำเทคโนโลยีใหม่ที่มีประสิทธิภาพมาใช้ เพื่อให้มั่นใจว่าบริษัทจะสามารถให้บริการด้วยคุณภาพที่สูงแก่ลูกค้าอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง
จากผลการดำเนินงานที่ผ่านทำให้ BGRIM ติดอันดับหุ้นยั่งยืน ESG 100 ต่อเนื่อง 2 ปีซ้อนบริษัทได้รับมอบประกาศนียบัตร ESG 100 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ซึ่งเป็น 1 ใน 100 ของบริษัทจดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social, and Governance – ESG) ในกลุ่มทรัพยากร (Resource) การได้รับคัดเลือกในครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่าบริษัทมีความมุ่งมั่นและให้ความสำคัญกับเรื่องธรรมาภิบาลในการดำเนินธุรกิจ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการคำนึงถึงประโยชน์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อก้าวเป็นบริษัทพลังงานชั้นนำระดับสากลที่มีฐานการเติบโตที่แข็งแกร่งและยั่งยืน
ขณะเดียวกันที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทยังอนุมัติการจ่ายปันผลระหว่างกาลในอัตรา 0.15 บาทต่อหุ้น โดยวันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) คือ 28 สิงหาคม 2562 และ วันจ่ายปันผล 10 กันยายน 2562