HoonSmart.com>>อินโดรามาฯ ตอกย้ำเคมีภัณฑ์ชั้นนำระดับโลกที่มีรายได้หลากหลาย จบดีลซื้อกิจการใหญ่ที่สุดเป็นประวัติการณ์ Huntsman ผู้นำระดับโลกในธุรกิจออกไซด์ แบบบูรณาการและอนุพันธ์เอทิลีนออกไซต์ สร้างอิบิทดา 3 พันล้านบาท หนุนกำไรหลักเพิ่มอีกเท่าตัวในปี 2566 เป็น 3 พันล้านดอลลาร์ มีเงินเหลือลงทุนอีก 2,500 ดอลลาร์ ยันไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุน ไตรมาส 2 กำไรเพียง 2.2 พันล้านบาท ลดลง 72.49% เกิดจากขาดทุนสต็อก กระแสเงินสดยังแข็งแรง
นายอาลก โลเฮีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส (IVL) เปิดเผยว่า บริษัทซื้อกิจการ Huntsman ผู้นำระดับโลกในธุรกิจออกไซด์ (EOs) แบบบูรณาการและอนุพันธ์เอทิลีนออกไซต์ (EOD) ที่มีฐานการผลิตขนาดใหญ่และมีการลงทุนบริเวณพื้นที่ชายฝั่งสหรัฐอเมริกา รวมทั้งในประเทศอินเดียและออสเตรเลีย มูลค่าสุทธิ 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ประมาณ 6.2 หมื่นล้านบาท และภาระผูกพันเงินบำนาญรอตัดบัญชีจำนวนไม่เกิน 76 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น EV/EBITDA 5.7เท่า คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 4/2562
Huntsman มีรายได้ 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีอัตรากำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA margin) อยู่ที่ 18% ในปี 2561 การลงทุนครั้งนี้ทำให้บริษัทฯมีกำไรเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปีแรกที่เริ่มประกอบการเต็มรูปแบบ และผลประโยชน์ที่เกื้อกูลกันจะช่วยเพิ่มกำไรก่อนภาษีฯ (อิบิทดา) ปีละ 100 ล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2565 Core EBITDA เสมือนเพิ่มขึ้น 25% จากปี 2561 หรือเป็น 2 เท่าในปี 2566
“การซื้อธุรกิจที่ทำกำไร มีการเติบโต และโดดเด่นแตกต่างจากธุรกิจโอเลฟินส์อื่นๆในอุตสาหกรรม โดยมีมูลค่าซื้อต่ำกว่า 50% เมื่อเทียบกับต้นทุนการสร้างโรงงานใหม่ จึงถือเป็นการเข้าซื้อกิจการที่เปลี่ยนเกมธุรกิจของ IVL และเป็นการเข้าซื้อกิจการที่ใหญ่ที่สุดเป็นประวัติการณ์ของบริษัท และเป็นหนึ่งในการซื้อกิจการโดยบริษัทไทยที่มีมูลค่าสูงสุดในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา”
นอกจากนี้ยังช่วยส่งเสริมกลยุทธ์การเติบโตของธุรกิจออกไซต์แบบบูรณาการและธุรกิจเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษของบริษัทให้แข็งแกร่ง รวมทั้งเพิ่มเติมผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่มในกลุ่ม EODs และอนุพันธ์โพรพิลีนออกไซด์ ขยายขอบเขตความเชี่ยวชาญในธุรกิจออกไซด์แบบบูรณาการบริเวณพื้นที่ชายฝั่งสหรัฐอเมริกา ผ่านความเป็นเลิศในการดำเนินงาน ขนาดธุรกิจระดับโลก สร้างความแตกต่างทางธุรกิจและเทคโนโลยี
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม IVL กล่าวว่า การซื้อกิจการ Huntsman เป็นการขับเคลื่อน IVL สู่เป้าหมายการเป็นบริษัทเคมีภัณฑ์ระดับโลกที่มีความหลากหลายและมีรายได้จากหลายกลุ่มธุรกิจ บริษัทพยายามสร้างโมเดลทางธุรกิจ เน้นการให้บริการในตลาดที่มีการเติบโตสูง ยืดหยุ่นและไม่ผันตามเศรษฐกิจ มีการบูรณาการเพื่อให้บริการภายในห่วงโซ่ปลายน้ำ มีผู้บริหารที่มากด้วยความสามารถ เป็นเจ้าของและมีสิทธ์ขาดในเทคโนโลยี รวมทั้งทรัพย์สินทางปัญญา การรวมกันของสินทรัพย์เอทิลีนออกไซต์ที่มีการบูรณาการ 2 แห่ง การผลิตเอทิลีนออกไซต์และอนุพันธ์โพรพิลีนออกไซต์เพื่อการบริโภคภายใน จะช่วยเร่งการเติบโตของรายได้ด้วยการใช้งานในผลิตภัณฑ์ที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวันที่มีกำไรเพิ่มขึ้น ตลาดเติบโตประมาณ 5% ช่วยเสริมความแข็งแกร่งของบริษัทกับลูกค้าปัจจุบันและในอนาคต ตอกย้ำโอกาสในการสร้างการเติบโตของกำไรอย่างต่อเนื่อง
นายอาลก กล่าวว่า การซื้อกิจการ Huntsman จะกู้จากสถาบันการเงินแห่งเดียวจำนวน 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐ และเงินทุนจากกระแสเงินสด โดยไม่มีแผนจะเพิ่มทุนแต่อย่างใด บริษัทตั้งงบลงทุนในช่วง 5 ปี (ปี 2562-2566) อยู่ที่ 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หลังซื้อกิจการ Huntsman มีงบลงทุนอีกประมาณ 2,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ตั้งเป้ากำไรหลักก่อนหักดอกเบี้ยฯเติบโตเท่าตัวเป็นประมาณ 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จาก 1,440 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2561 และเพิ่มกำลังการผลิต
ในปี 2562 คาดว่าว่า Core EBITDA จะอยู่ที่ 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ในไตรมาส 2 มีกำไรสุทธิ 2,267 ล้านบาท ลดลง 5,975 ล้านบาทหรือ 72.49% เทียบกับกำไรสุทธิ 8,242ล้านบาทในช่วงเดียวกันปีก่อน รวม 6 เดือน กำไรสุทธิ 5,974 ล้านบาท ลดลง 8,082 ล้านบาท หรือ 57% จากกำไรสุทธิ 14,056 ล้านบาทในช่วงเดียวกันปีก่อน กำไรสุทธิต่อหุ้นลดลงจาก 1.45 บาทเหลือ 0.36 บาทในไตรมาส 2 เนื่องจากรับรู้ผลขาดทุนสต็อก ซึ่งยังไม่ได้เกิดขึ้นจริง เป็นเพียงการลงบัญชีตามราคาตลาด ขณะที่บริษัทสามารถมีการเติบโตของ Core EBITDA ต่อเนื่องที่ทำให้กระแสเงินสดของบริษัทแข็งแรง
นาย Peter Huntsman ประธาน ผู้บริหารสูงสุดและซีอีโอ บริษัท Huntsman กล่าวว่า IVLได้ผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายกว่า 100 ชนิดและลูกค้าเพิ่มเติมนับพัน Huntsman จะยังคงร่วมงานกับอินโดรามาฯ ในฐานะลูกค้าและพันธมิตรผู้ผลิตผ่านการจัดสรรเชิงพาณิชย์ในระยะยาว รวมถึงการส่งมอบโพรพิลีนออกไซต์ด้วย