HoonSmart.com>> ศูนย์วิจัยกสิกรไทย แนะทางการไทยเตรียมรับมือ พร้อมเร่งพิจารณามาตรการเฉพาะหน้าเพื่อบรรเทาผลกระทบสงครามการค้าสู่สงครามค่าเงิน มองใช้เครื่องมือนโยบายการคลัง ลดภาษีช่วย
บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินกรณีทางการจีนปล่อยให้ค่าเงินหยวนอ่อนค่าลงมาอยู่ระดับที่ต่ำกว่า 7 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นครั้งแรกในรอบ 11 ปี หลังจากที่สหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีสินค้านำเข้าจีนเพิ่มเติมในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณว่าทางการจีนพร้อมที่จะตอบโต้สงครามการค้ากับสหรัฐฯ ด้วยการลดค่าเงิน ซึ่งทางการจีนอาจใช้มาตรการลดค่าเงินเพิ่มเติมในอนาคตเพื่อตอบโต้สหรัฐฯ และเพื่อบรรเทาผลกระทบทางลบที่เกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจจีน
อย่างไรก็ดีมองว่า ทางการจีนน่าจะไม่ปล่อยให้เงินหยวนอ่อนค่ามากจนเกินไป เนื่องจากจะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงินของจีนและบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ทางการไทยจำเป็นต้องเร่งพิจารณามาตรการเฉพาะหน้าเพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้นโยบายกระตุ้นทางการคลัง เช่น การปรับลดภาษีต่างๆ ที่ยังพอมีช่องว่างให้สามารถทำได้ ซึ่งท่าทีระหว่างสหรัฐฯ กับจีนเริ่มปรากฏชัดว่าไม่ได้หยุดแค่สงครามการค้าเท่านั้น แต่กำลังดึงภาคส่วนอื่นของเศรษฐกิจเข้ามาในเกมนี้
“การปล่อยให้ค่าเงินหยวนอ่อนค่าส่งผลให้ในที่สุดจีนก็เข้าข่ายประเทศที่มีพฤติกรรมบิดเบือนค่าเงิน (Currency Manipulator) ตามข้อกล่าวหาของสหรัฐฯ นำมาซึ่งความชอบธรรมให้สหรัฐฯ ใช้มาตรการทางเศรษฐกิจและการค้าเพื่อปกป้องการค้าที่ไม่เป็นธรรม (Unfair Trade Practices) มาตรา 301 และมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (CVD) ได้เข้มข้นขึ้นอีก จึงมองว่า ในระยะอันใกล้มีความเสี่ยงที่สหรัฐฯ จะยกระดับการขึ้นภาษีสินค้าจีนล็อต 3 แสนล้านดอลลาร์ฯ อีกเป็นร้อยละ 25 จากประกาศล่าสุดที่จะขึ้นภาษีร้อยละ 10 ในวันที่ 1 ก.ย.62 นี้”ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุ
สำหรับผลกระทบต่อไทยนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การอ่อนค่าลงของค่าเงินหยวนจะส่งผลให้ค่าเงินทั้งภูมิภาคอ่อนค่าตามไปด้วย ยกเว้นบางสกุลเงิน เช่น เงินบาท ซึ่งเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกับสกุลเงินอื่นๆ เนื่องจากปัจจัยทางด้านเสถียรภาพภายนอก (External stability) ที่ส่งผลให้ไทยถูกมองเป็นแหล่งลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe heaven) ทั้งนี้ ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนในตลาดโลกจะส่งผลให้ค่าเงินบาทมีความผันผวนตามไปด้วย
ในขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจทำได้เพียงออกมาตรการประคับประคองไม่ให้ค่าเงินบาทมีความผันผวนมากจนเกินไป แต่คงไม่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทได้ และคงต้องปล่อยให้ทิศทางค่าเงินบาทเป็นไปตามกลไกตลาด ทั้งนี้ แม้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยอาจเปลี่ยนจุดยืนนโยบายทางการเงินไปในทิศทางที่ผ่อนคลายมากขึ้น แต่สาเหตุหลักน่าจะเป็นเพราะการชะลอตัวทางเศรษฐกิจมากกว่าเรื่องของค่าเงิน
นอกจากนี้ การดำเนินนโยบายทางการเงินผ่านทางดอกเบี้ยนโยบายอาจไม่ส่งผ่านไปยังอัตราแลกเปลี่ยนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากเท่าใดนัก เนื่องจากการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทถูกขับเคลื่อนด้วยการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศเป็นหลัก ในขณะที่ ฐานะดุลการค้าของไทยยังมีแนวโน้มที่จะเกินดุลอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งอาจจะสร้างแรงกดดันให้เงินบาทมีทิศทางแข็งค่าขึ้นต่อไป
ทั้งนี้ การที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างมาก เมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ โดยนับตั้งแต่ต้นปี ค่าเงินบาทแข็งค่าไปแล้วกว่าร้อยละ 5 (YTD) เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้ความสามารถทางการแข่งขันของไทยในเวทีโลกนั้นลดลง และส่งผลให้การส่งออกของไทยที่ชะลอตัวจากเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแรงอยู่แล้วนั้น มีแนวโน้มที่จะชะลอตัวไปมากกว่าเดิม ซึ่งเป็นปัจจัยฉุดรั้งที่ทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยนั้นชะงักงัน นอกจากนี้ หากสหรัฐฯ ยกระดับการขึ้นภาษีสินค้าจีนล็อต 3 แสนล้านดอลลาร์ฯ อีกเป็นร้อยละ 25 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าผลกระทบที่จะเกิดกับการส่งออกของไทยจะขยับขึ้นใกล้เคียงกรอบบนของประมาณการที่ 3.1 พันล้านดอลลาร์ฯ ในปี 2562 จากมูลค่า 2.4 พันล้านดอลลาร์ฯ ซึ่งภาคธุรกิจไทยที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิตสินค้าที่เกี่ยวข้องจะได้รับผลกระทบอย่างมาก
ดังนั้น ภาครัฐบาลไทยทุกภาคส่วนคงต้องเร่งพิจารณามาตรการเฉพาะหน้า เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อภาคธุรกิจไทยที่เผชิญความเสี่ยงมากขึ้น ซึ่งการดำเนินนโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลายอาจทำได้จำกัดในระยะข้างหน้า เนื่องจากธนาคารแห่งประเทศไทยต้องคำนึงถึงความเสี่ยงของเสถียรภาพระบบการเงินโดยรวมอีกด้วย ท่ามกลางการก่อหนี้ของภาคเอกชนที่สูงขึ้น อีกทั้งอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปัจจุบันอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ ส่งผลให้ขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงิน (Policy space) มีจำกัด ขณะที่นโยบายการคลังยังพอมีช่องทางเพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบที่ส่งตรงต่อภาคธุรกิจของไทยซึ่งมีช่องว่างให้พิจารณานำมาใช้มากขึ้นทั้งการปรับลดภาษีภาคธุรกิจ และการเร่งรัดคืนภาษีส่งออก เป็นต้น
ทั้งนี้ มาตรการต่างๆ เหล่านี้ถือเป็นมาตรการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น ในขณะที่ ในที่สุดแล้วความอยู่รอดของธุรกิจคงจะยังขึ้นอยู่กับความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจแต่ละรายเป็นหลัก ดังนั้น ผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลาง (SME) จึงมีแนวโน้มที่จะได้รับความเสี่ยงอย่างมาก ซึ่งรัฐบาลจำเป็นต้องคำนึงถึงผู้ประกอบการเหล่านี้
อย่างไรก็ดี การดำเนินการให้ความช่วยเหลือภาคส่งออกด้วยมาตรการด้านการคลังดังกล่าว ก็มีประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณา นั่นก็คือประเด็นด้านความไม่เท่าเทียมและการกระจายรายได้ ส่งผลให้รัฐบาลจำเป็นต้องชั่งน้ำหนักในการออกมาตรการช่วยเหลือต่างๆ อย่างไรก็ดี การชะลอตัวของการส่งออกอาจส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจไปในวงกว้างได้ ทั้งต่อภาคการผลิตและการจ้างงาน ทำให้รัฐบาลคงจะต้องเร่งชั่งน้ำหนักและตัดสินใจเลือกใช้มาตรการเพื่อช่วยให้การส่งออกและเศรษฐกิจไทยผ่านพ้นสงครามการค้าที่กำลังจะเปลี่ยนเป็นสงครามค่าเงินนี้ไปได้