HoonSmart.com>> บล.เออีซี มองแนวโน้มตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ กรอบ 1,720 -1,750 จุด ปัจจัยภายต่างประเทศเป็นบวก ด้านภาวะในประเทศกดดัน ทั้งเงินบาทแข็งค่า สงครามการค้าฉุดภาคส่งออก พร้อมจัดหุ้นรับมือตลาดผันผวนได้ประโยชน์บาทแข็ง-ได้งานใหม่ต่อเนื่อง-ปันผลดี- SYNEX , HARN , BAFS , ASK คัดอีกกลุ่มคาดกำไรดีเหมาะเล่นสั้นดักทางก่อนประกาศ Q2/62 แนะ PSL , KKP , KTB
บริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) หรือ AECS มองทิศทางดัชนีตลาดหุ้นไทย ในสัปดาห์นี้ (8-12 ก.ค 62) มีแนวโน้มเคลื่อนไหวแบบ Side-way Up ในกรอบ 1,720-1,750 จุด ทั้งนี้ต้องยอมรับว่า Sentiment จากต่างประเทศ จะเป็นบวกจากสภาพคล่องในตลาดเงิน ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องหลัง ECB จีน และ ญี่ปุ่นตั้งเป้าใช้นโยบายการเงินผ่อนคลาย ประกอบในสัปดาห์นี้ หากรายงานการประชุม Fed ในเดือน มิ.ย.(11 ก.ค.62 ) รวมถึงถ้อยแถลงของ นายเจอโรม พาวเวล มีมุมมองลบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะทำให้ Prob. ที่ Fed จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย ในปีนี้มากกว่า 2 ครั้งเพิ่มขึ้น (ปัจจุบันอยู่ที่ 44.9%)
ขณะเดียวกัน ด้วยภาวะเศรษฐกิจ ในประเทศ ที่แสดงสัญญาณชะลอตัวลง โดยเฉพาะภาคการส่งออกที่รับผลกระทบจากสงครามการค้า และการใช้จ่ายภาครัฐ ที่เผชิญกับความล้าช้าของงบประมาณ ปี 63 ทำให้คาดปัจจัยดังกล่าว จะเป็นปัจจัยที่กดดัน EPS ของ SET Index ทั้งนี้ ในช่วงสั้นนักลงทุนจะให้ความสนใจกับการประกาศงบการเงินของหุ้นกลุ่มธนาคารที่จะทยอยประกาศงบ เพื่อเป็น Leading Indicator สำหรับการคาดการณ์แนวโน้มกำไรของหุ้นในกลุ่ม Real Sector ที่จะประกาศต่อไป
ดังนั้น ภายใต้ภาวะผันผวนของตลาด ส่งผลให้ฝ่ายวิจัย บล.เออีซี มองกลยุทธ์ลงทุน โดยแนะนำ หุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น โดยเฉพาะหุ้นที่นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ที่ได้ประโยชน์ จากต้นทุนสินค้าถูกลง ได้แก่ SYNEX (โดยตั้งเป้าปีนี้ รายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 15% นำโดยสินค้าประเภทอุปกรณ์สื่อสารและสินค้ากลุ่มคอมเมอร์เชียล ที่มีแนวโน้มเติบโตสูง บวกกับมีแผนเพิ่มกลุ่มสินค้าใหม่ทั้ง Gaming, Cloud service, Security และ Internet of Things) และ HARN (คาดกำไรปี 62 เติบโต 12.7% YoYจาก Backlog ณ สิ้น 1Q62 อยู่ที่ 520.7 ลบ. และมีโอกาสได้งานต่อเนื่องจากโครงการภาครัฐและเอกชน อีกทั้งราคาหุ้นปัจจุบันเทรด ForwardPER ปีนี้ที่ระดับ 8.92x)
กลุ่ม Defensive Stock ได้แก่ BAFS (กำไรสุทธิช่วง 1Q62 เติบโต 7.8%YoY จากปริมาณน้ำมันเพิ่มขึ้น 4.9%YoY ส่วนปี 62 ตั้งเป้ารายได้โต 8-9%YoY และเป้าปริมาณการเติมน้ำมันโต 4%YoY ตามจำนวนเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้นพร้อมกับเริ่มรับรู้รายได้ท่อส่งน้ำมันบางปะอิน – พิจิตร และเตรียมเข้าประมูลโครงการจัดเก็บและเติมน้ำมันในสนามบินอู่ตะเภา)
นอกจากนี้ ยังมองหุ้นที่มีอัตราจ่ายปันผล และมีผลเชิงบวกกับกำไรช่วง 2H62 มีแนวโน้มโตดี โดยแนะนำ ASK (คาดผลดำเนินงานมีโตต่อเนื่อง ตั้งแต่ช่วง2Q62 หนุนด้วยสินเชื่อรถพาณิชย์ ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามงานก่อสร้างภาครัฐฯที่จะทยอยเร่งตัวขึ้นบวกกับคาดได้ประโยชน์จากการทยอยเปลี่ยนรถตู้เป็นรถมินิบัสของผู้ประกอบการรถโดยสารสาธารณะตามมาตรการของ ขสมก.)
ขณะเดียวกัน ฝ่ายวิจัย ยังมีมุมมองต่อหุ้น กลุ่มเทรดดิ้ง ที่คาดว่าจะมีการฟื้นตัวจากผลประกอบการไตรมาส2/2562 ได้แก่ หุ้นกลุ่มเรือเทกอง ที่คาดผลประกอบการช่วง 2Q62 จะฟื้นตัวจากช่วง 1Q62 หลัง BDIY Index ในช่วง 2QTD ฟื้นตัวกว่า 24.7% เทียบกับช่วง 1Q62 ซึ่งสูงกว่าการปรับขึ้นของต้นทุนราคาน้ำมันโดย WTI CRUDE FUTURE ช่วง 2QTD เพิ่มขึ้นเพียง 6.5% เทียบกับช่วง 1Q62 มองหุ้นที่น่าสนใจ ได้แก่ PSL ปัจจุบันเทรด Trailing PBV ที่ระดับ 1x ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PBV 10 ปีย้อนหลังที่ 1.14x
พร้อมทั้ง แนะนำจับตา หุ้นกลุ่มธนาคาร โดยมองว่า เป็นกลุ่มที่ราคาน่าดึงดูด จากปัจจุบันซื้อขายที่ P/BV ต่ำเพียง 1.04x ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลังช่วง 3 ปีที่ 1.19x อีกทั้งหลังมีการรายงานแบบ ธ.พ.1.1จึงมองว่าหุ้นในกลุ่มธนาคารที่มีอัตราการเติบโตของเงินให้สินเชื่อโดดเด่นได้แก่ KKP (+10.2%YoY) และ KTB (+6.6%YoY)