นกสกู๊ตลุ้นราคาน้ำมันทรงตัวดัน‘กำไร’ปีแรก

นกสกู๊ต ตั้งเป้าคว้ากำไรปีนี้เป็นครั้งแรก หลังผลกระทบช่วงธงแดงทำเสียหาย 1,200 ล้านบาท เผยยังห่วงปัจจัยราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น ร่วมด้วยภาวะการแข่งขันสูงอาจกระทบเป้าหมายรายได้ เล็งเสริมความแกร่งเส้นทางญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย เสริมตลาดจีน

นายยอดชาย สุทธิธนกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินนกสกู๊ต กล่าวว่า หลังจากที่ประเทศไทย องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ไอซีเอโอ) ปลดธงแดงให้ไทยพ้นจากการเป็นประเทศที่มีข้อบกพร่องที่มีนัยสำคัญต่อความปลอดภัย (Significant Safety Concerns) ส่งผลให้ธุรกิจการบินของนกสกู๊ตปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง แม้ว่าผลงานในปี 2560 ยังขาดทุนกว่า 60 ล้านบาท แต่เป็นอัตราที่ลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับปี 2558 และปี 2559 ที่ขาดทุน 1,200 ล้านบาท และ 600 ล้านบาทตามลำดับ

แม่บ้านสวยและรวยมาก
แม่บ้านสวยและรวยมาก

ผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นมาจากการปรับแผนดำเนินงาน มุ่งเปิดเส้นทางในจุดหมายที่มีโอกาสสูง คือ จีน จนมี 6 เส้นทางบินตรงในปัจจุบัน ได้รับความนิยมจากลูกค้าคนจีนสัดส่วนกว่า 90% ขณะที่ลูกค้าคนไทยมีไม่ถึง 10% แต่ปีนี้ตั้งแต่ไตรมาส 2 คาดว่าสัดส่วนของตลาดคนไทยจะดีขึ้น เนื่องจากมีแผนเปิดเส้นทางเข้าไปยังญี่ปุ่น 2 เมือง ได้แก่ โตเกียว (นาริตะ) และโอซาก้า ซึ่งเป็นจุดหมายที่คนไทยนิยม

หัวข้อใหม่

ส่วนครึ่งปีหลังเตรียมเปิดเส้นทางไปยัง กรุงโซล (อินชอน) เกาหลีใต้ หลังจากได้รับอนุมัติจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีการรับเครื่องบินเพิ่มอีก 1 ลำในแบบเดิม คือ โบอิ้ง 777-200 จำนวน 415 ที่นั่ง ทำให้ในปีนี้จะมีฝูงบินรวม 5 ลำ

นอกจากนั้นเตรียมขยายเส้นทางไปยังอินเดีย โดยอยู่ระหว่างขอโควตาทำการบินระหว่างกรุงเทพฯ ไปยังนิวเดลี 5 เที่ยว/สัปดาห์ และมุมไบ 7 เที่ยว/สัปดาห์ หลังจากที่ไทยได้สิทธิเพิ่มที่นั่งตามข้อตกลงด้านการบินระหว่าง 2 ประเทศ และตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นไป มีแผนจะรับเครื่องบินเพิ่มอีกปีละ 3 ลำ เพื่อรองรับการขยายเส้นทางได้อย่างเต็มที่ หลังจากไม่มีอุปสรรคเรื่องธงแดง

ดังนั้นจึงประเมินว่าภายในปีนี้ คาดว่าจะเป็นครั้งแรกที่ทำกำไรได้ และคาดว่าจะอยู่ที่ราว 100 ล้านบาทขึ้นไป และมีรายได้เติบโต 80% แตะ 1 หมื่นล้านบาท เพิ่มจากปีก่อนปิดรายได้ที่ 5,600 ล้านบาท คาดด้วยว่าการบรรทุกผู้โดยสารจะเพิ่มเป็นกว่า 2 ล้านคน เติบโต 37% จากปีก่อนทำไว้ที่ 1.1 ล้านคน เพราะเข้าสู่ตลาดที่เป็นที่นิยมของผู้โดยสารได้มากขึ้นดังกล่าว ขณะที่ตลาดเดิมอย่างจีนจะคงรักษาเส้นทางไว้ และอาจเพิ่มความถี่หากมีการตอบรับที่ดี หลังจากปีที่ผ่านมาสามารถผลักดันอัตราบรรทุกเฉลี่ยได้สูงถึง 87%

อย่างไรก็ตามยอมรับว่าปัจจัยที่ยังกังวลหลัก 2 เรื่องในปีนี้คือ ราคาน้ำมัน ที่อยู่ในช่วงขาขึ้น โดยการประเมินผลกำไรในปีนี้ อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ราคาน้ำมันจะทรงตัวอยู่ที่ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แต่หากราคาขึ้นมากกว่านั้น จะกระทบต่อต้นทุนธุรกิจแน่นอน และทำให้สัดส่วนราคาน้ำมันเทียบต้นทุนสูงขึ้นกว่าระดับ 30% ในปัจจุบัน

“ถ้าน้ำมันปรับราคาขึ้นจะมีผลกระทบต่อการดำเนินงานแน่นอน แต่ประเด็นหลักคือ ลำพังการขึ้นราคา ไม่สำคัญและมีผลในเชิงลบเท่ากับการปรับขึ้นแบบกระโดดรวดเร็วเกินไป เพราะการจำหน่ายตั๋วเครื่องบินมักจะทำกันล่วงหน้า และขายในราคาที่อิงกับต้นทุนปัจจุบัน หากราคาน้ำมันผันผวนรวดเร็วจึงมีผลต่อการทำราคาขายไปล่วงหน้าแล้ว เพราะไม่ทันวางแผนรับมือไว้ ขณะที่ลูกค้าเองที่เห็นราคาปรับขึ้น ก็อาจจะช็อกและระงับการเดินทางออกไปก่อนด้วย”