HoonSmart.com>>หุ้นกลุ่มปตท.ถูกถล่มยับ จาก 3 ปัจจัย สัปดาห์ก่อนมาร์เก็ตแคปหายไป 6.4 หมื่นล้านบาท PTTGC-IRPC ร่วงแรงต่ำกว่าเป้าหมายที่เครดิตสวิส-นักวิเคราะห์ไทยให้ไว้
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา (21-24 พ.ค.2562) หุ้นในกลุ่มปตท.สะบักสะบอมยกแผง ทั้ง PTT,PTTEP,PTTGC,TOP,IRPC,GPSC กดดันให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด(มาร์เก็ตแตคป) หายไปถึง 64,515.42 ล้านบาท หุ้นถูกถล่มขายด้วย 3 ปัจจัยหลัก คือ 1. บริษัทเครดิตสวิส ปรับลดน้ำหนักการลงทุน และราคาเป้าหมายหุ้น PTTGC,TOP,IRPC และ PTT 2.ราคาน้ำมันดิบดิ่งลงแรงกว่า 5% วันที่ 24 พ.ค. 2562 ที่ผ่านมา และ 3. ตลาดหุ้นโดยรวมปรับตัวลง จากสงครามการค้าลุกลาม ซึ่งการปรับตัวลงของหุ้นกลุ่มนี้ ส่งผลกระทบให้ดัชนีหุ้นโดยรวมลงไปต่ำกว่าระดับ 1,600 จุดเล็กน้อย ก่อนจะดีดกลับขึ้นมาปิดที่ 1,614.12 จุดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
ตลาดหุ้นที่ดีขึ้น เกิดจากนักลงทุนเริ่มมีแรงซื้อกลับหุ้น PTTGC,TOP และ IRPC ส่วนหนึ่งเกิดคำถามว่าเป็นเพราะราคาปรับตัวลงแรงและเร็วเกินไปหรือไม่ จนทำให้ซื้อขายต่ำกว่าเป้าหมายที่บล.เครดิตสวิสและนักวิเคราะห์ไทยให้เฉลี่ยหรือ IAA Consensus
โดยเฉพาะ PTTGC หุ้นปิดที่ 60.75 บาท ต่ำกว่าราคาเป้าหมายที่เครดิตสวิสปรับลดพรวดเดียวจาก73 บาท เหลือ 65 บาท และที่นักวิเคราะห์ไทยให้เฉลี่ยถึง 80 บาท ขณะที่ยังมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี โดยนายทิติพงษ์ จุลพรศิริดี ผู้จัดการฝ่ายหน่วยงานการเงินองค์กร และนักลงทุนสัมพันธ์ PTTGC ให้ข้อมูลนักวิเคราะห์และนักลงทุนว่า บริษัทได้วางแผนรับมือกับการปรับตัวลงของผลการดำเนินงานแล้ว โดยการตั้ง War room ติดตามสถานการณ์ผลกระทบจากสงครามการค้า พร้อมดำเนินมาตรการลดต้นทุน เพิ่มยอดขาย รวมถึงผลของโครงการต่างๆ เช่น MAX จะสร้างประโยชน์เพิ่มขึ้น 5,600 ล้านบาทในปีนี้ ส่วนโครงการขยายการลงทุน 3 โครงการมีความคืบหน้าตามแผนและเร็วกว่าแผน คาดว่าจะออกดอกออกผลในครึ่งหลังของปีหน้า
ส่วน TOP ปิดที่ 60 บาท แม้ว่ายังสูงกว่าราคาเป้าหมายที่เครดิตสวิสให้ล่าสุดที่ 55 บาท แต่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ไทยให้เฉลี่ย 81.50 บาท นาง ธาริกา เทพหัสดิน ณ อยุธยา ผู้จัดการฝ่ายวางแผนการเงิน บริษัทไทยออยล์ (TOP) คาดว่าผลการดำเนินงานผ่านจุดต่ำสุดแล้วไตรมาส 1 ที่ผ่านมา แนวโน้มจะเติบโตขึ้น โครงสร้างกำไรของบริษัทมาจากธุรกิจปิโตรเลียม 80% ดีขึ้น และกำไรอีก 13-14% มาจากธุรกิจไฟฟ้าที่มีความมั่นใจ ทั้งกำลังการผลิตและไอน้ำ นอกจากนี้การขาย ERU ให้กับ GPSC ทำให้เงินลงทุนในโครงการพลังงานสะอาดลดลง 15% และมีสภาพคล่องเผื่อไว้ลงทุนในโครงการใหม่ในอนาคต
นายชัชชัย สิริวิชช์ ผู้จัดการแผนกนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ไทยออยล์ (TOP) เปิดเผยว่าในช่วงไตรมาส 2 มีโอกาสที่จะบันทึกกำไรจากสต็อกน้ำมัน หลังจากที่ราคาน้ำมันดิบดูไบ ปรับขึ้นอยู่ที่ 70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล สูงกว่าช่วงไตรมาส 1 ระดับ 67 เหรียญสหรัฐ ส่วนภาพรวมทั้งปี 2562 ยังคงราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 65-67 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล คาดกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่ม (GIM) จะอยู่ที่ระดับ 6 เหรียญสหรัฐ ใกล้เคียงกับปีก่อน แม้ว่าค่าการกลั่น (GRM) จะปรับตัวได้ดีขึ้น แต่ภาพรวมยังคงถูกดดันจากส่วนต่าง (สเปรด) ธุรกิจปิโตรเคมี ของผลิตภัณฑ์กลุ่มอะโรเมติกส์ได้รับผลกระทบจากปริมาณการผลิตยังคงล้นตลาดอยู่ในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตามบริษัทคาดว่าจะได้รับประโยชน์จากเกณฑ์ใหม่ขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO) ที่กำหนดให้เรือเดินสมุทรต้องใช้น้ำมันเตาที่มีค่ากำมะถันต่ำไม่เกินกว่า 0.5% จาก 3.5% ในปัจจุบัน ซึ่งมีผลบังคับใช้ในต้นปี 2563 ส่งผลให้ผู้ประกอบการเดินเรือจะเริ่มมีคำสั่งซื้อน้ำมันดีเซล ตั้งแต่ในช่วงเดือน ต.ค.2562 เป็นต้นไป เพื่อนำมาผสมกับน้ำมันเตาเพื่อลดค่ากำมะถัน โดยกรณีนี้ก็จะส่งผลดีต่อการขายผลิตภัณฑ์ดีเซลของบริษัทด้วย
สำหรับ IRPC ราคาหุ้นที่ไหลลงอย่างรวดเร็วต่ำกว่า 5 บาทมาอยู่ที่ 4.68 บาท ขณะที่เครดิตสวิสให้เป้าหมาย 5 บาทและนักวิเคราะห์ไทยให้เฉลี่ย 6.50 บาท จากนักวิเคราะห์ 19 ราย ส่วนใหญ่ คือ 11 รายยังคงคำแนะนำ”ซื้อ” มีเพียง บล.ธนชาตแนะ “ขาย” ลดราคาเป้าหมายเหลือ 4.50 บาท บล.ฟินันเซีย ไซรัสให้สูงสุด 7.50 บาท IRPC มีข่าวดีรออยู่ การลงทุนโครงการขนาดใหญ่ เช่น เอเวอร์เรสต์ เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ และขยายกำลังการผลิต
เมื่อวันที่ 24 พ.ค.ที่ผ่านมา PTTEP ดิ่งลงแรง 4.23% ปิดที่ 124.50 บาท หลังจากราคาน้ำมันดิบรูดลงกว่า 5% นักวิเคราะห์ประเมินราคาน้ำมันเปลี่ยนแปลงทุก 1 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล กระทบกำไรของปตท.สผ.ประมาณ 600-700 ล้านบาท ส่วน PTT ระหว่างวันไหลลงไปแตะ 45 บาทก่อนเด้งขึ้นมาปิดที่ 45.75 บาทไม่เปลี่ยนแปลงจากวันก่อน ทั้งนี้ บริษัทเครดิตสวิสคงเป้าหมายราคาไว้ที่ 45 บาท