HoonSmart.com>>ราคาหุ้นบริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ ( BEAUTY ) ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางมูลค่าซื้อขายที่หนาแน่น นั่นหมายความว่า หุ้นจำนวนมหาศาล ยังถูกขนออกมาขายไม่หยุด วันที่ 21 พ.ค. ราคาหุ้นร่วงหนัก 50 สตางค์ ลงมาปิดที่ 3.74 บาท หรือ 11.79% จากวันก่อน มูลค่าซื้อขาย 1,404 ล้านบาท ขณะที่ดัชนี SET ปิด 1,610.49 จุด เพิ่มขึ้น 2.38 จุด
หากพิจารณาจากมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) ของหุ้น BEAUTY ณ วันที่ 21 พ.ค. 2562 มาร์เก็ตแคป อยู่ที่ 11,245 ล้านบาท เทียบกับ ณ วันที่ 30 เม.ย. 2562 อยู่ที่ 20,897.3 ล้านบาท หรือเพียง 12 วันทำการ ( 2-21 พ.ค.) มาร์เก็ตแคปหายไปถึง 9,651.86 ล้านบาท คิดเป็น 46 % ของมาร์เก็ตแคป 30 เม.ย.
พิจารณาจากราคาหุ้น ณ 21 พ.ค. ราคาปิดที่ 3.74 บาท เทียบกับ ณ วันที่ 30 เม.ย. ราคาสูงสุดของวันอยู่ที่ 7 บาท เพียง 12 วัน ราคาลดลงมา 3.26 บาท หรือลดลง 46 % ซึ่งมากกว่าการปรับตัวลงของตลาดหลักทรัพย์ ที่ลดลงเพียง 3.76 % เท่านั้น
ทั้งนี้ ดัชนี SET ณ วันที่ 21 พ.ค. 2562 ปิดที่ 1,610.49 จุด ลดลง 63.03 จุด หรือ 3.76 % เทียบกับวันที่ 30 เม.ย. ดัชนี SET อยู่ที่ 1,673.52 จุด
แรงขายที่เกิดขึ้นกับหุ้น BEAUTY ตั้งแต่ต้นเดือนพ.ค.นี้ เกิดจากผลประกอบการไตรมาส 1/2562 ลดลงอย่างหนักเหลือ 69.55 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.02 บาท ลดลง 212.90 ล้านบาท หรือ 75.4 % เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไรระดับ 282.41 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.09 บาท
สาเหตุที่ผลประกอบการลดลงมาก เกิดจากยอดขายจีน ที่บริษัทมีสัดส่วน 20 % ลดลง อีกทั้งการหิ้วผลิตภัณฑ์ของ BEAUTY จากเมืองไทย เพื่อไปขายออนไลน์ในจีน ถูกสกัดกั้นจากรัฐบาลจีน ที่คุมการขึ้นทะเบียนสินค้าออนไลน์ ทำให้ยอดขายจีนลดลงมาก ประกอบกับนักเที่ยวจีนมาไทย ก็ลดลงด้วย
ส่วนยอดขายในประเทศก็ซบเซาตามภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ลดลง นอกจากนี้ บริษัทไม่มีสินทรัพย์ที่เป็นโรงงาน เนื่องจากว่าจ้างผลิตสินค้าทั้งหมด ธุรกิจของบิวตี้เป็นเพียงเทรดดิ้งหรือซื้อมาขายไปเท่านั้น
อีกเหตุผลหนึ่งที่เป็นผลจิตวิทยาไม่น้อยกับหุ้น BEAUTY ก็คือ การที่นายแพทย์สุวิน ไกรภูเบศ ผู้ถือหุ้นใหญ่ ขายหุ้นแล้วขายเลย ( ขายได้ราคาดีซะด้วย 18.80 บาท ) ไม่เคยเหลียวกลับมาซื้ออีก สัดส่วนหุ้นที่เคยถือจำนวนมาก ตามสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น 7 พ.ค. 2562 เหลือติ่งไว้เพียง 453.97 ล้านหุ้น หรือ 15.10 % เท่านั้น สภาพคล่องหุ้น BEAUTY ที่ซื้อขายบนกระดาน (ฟรีโฟลท) มากถึง 78.29 % จำนวนรายย่อยสูงถึง 43,780 ราย
อ่านประกอบ