HoonSmart.com>>กลุ่มพลังงานได้รับอานิสงส์ราคาน้ำมันดิบเข้าใกล้ 70 เหรียญ เฉพาะไตรมาส 1 เพิ่มขึ้นเกือบ 10 เหรียญ หนุนกำไรสต๊อกก้อนใหญ่ให้กับกลุ่มปตท. บล.เคทีบี คาด PTTEP มีกำไรสุทธิ 12,512 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 41.6% จากไตรมาส 4 ส่วน IRPC ทบทวนแผนลงทุนโครงการใหญ่ MARS ขอดูภาวะตลาด-ปรับรูปแบบโครงการ
ราคาน้ำมันดิบแตะระดับสูงสุด (นิวไฮ) ของปี 2562 โดยการซื้อขายน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนพฤษภาคมเพิ่มขึ้น 64 เซนต์มาที่ 62.23 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และก่อนหน้านี้เคยเพิ่มขึ้นเหนือระดับ 62 เหรียญ ในเดือนพฤศจิกายน 2561 ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนท์ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนมิ.ย.เพิ่มขึ้น 18 เซนต์ มาที่ 69.19 เหรียญสหรัฐ หลังจากแตะระดับ 69.50 เหรียญในเดือนพฤศจิกายน 2561 ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบได้ปรับขึ้นแล้ว 37% ในปีนี้
บล.เอเซีย พลัส ออกบทวิเคราะห์ว่า ราคาน้ำมันดิบฟื้นตัวใกล้ 70 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน และสนับสนุนให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แกว่งตัวขึ้นในกรอบ 1640-1665 จุด แม้การจัดตั้งรัฐบาลยังล่าช้า แต่เริ่มเห็นสัญญาณเงินทุนไหลเข้าไทยบ้าง
ปัจจุบันราคาน้ำมันดิบดูไบทรงตัวในระดับสูง 68.2 เหรียญฯ ขณะที่ในไตรมาส 1 ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 66 เหรียญฯ เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 4 ที่ 57 เหรียญฯ ส่งผลบวกต่อ PTTGC, TOP และ IRPC คาดว่าบริษัทแต่ละแห่งจะมีการบันทึกกำไรสต๊อกน้ำมันประมาณ 3,000-4,000 ล้านบาท ส่วน BCP คาดจะบันทึกราว 1,200 ล้านบาท ทำให้กำไรสุทธิของกลุ่มเพิ่มขึ้นในไตรมาส 1 เทียบกับไตรมาส 4 ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ PTT ยังได้รับกำไรจากบริษัทร่วมที่กลับมาเติบโต รวมถึงกำไรจากสต๊อก ทำให้กำไรสุทธิฟื้นตัวขึ้นเช่นเดียวกัน แม้ราคาขายปิโตรเลียมเฉลี่ยลดลงก็ตาม
“ราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นทุกๆ 5 เหรียญสหรัฐฯ จะช่วยเพิ่มมูลค่าที่เหมาะสมให้กับหุ้น PTTEP ประมาณ 10 บาท (มูลค่าเดิม 178 บาท ) และ PTTเพิ่มขึ้น 4 บาท (มูลค่าเหมาะสม 56 บาท ) เพิ่มขึ้นราว 4 บาท โดยเลือกหุ้นเด่นคือ PTTGC มูลค่าเหมาะสม 79 บาท”บล.เอเซียพลัสระบุ
นายนพดล ปิ่นสุภา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี (IRPC) เปิดเผยว่า ในไตรมาส 1 คาดกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่ม (GIM) ซึ่งรวมผลกระทบสต็อกน้ำมันจะอยู่ที่ 11-12 เหรียญสหรัฐ สูงกว่าระดับ 6.58 เหรียญสหรัฐ ในไตรมาส 4 หลังราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยไตรมาส 1 อยู่ที่ 67 เหรียญสหรัฐ สูงกว่าสิ้นปี 2561 คาดเฉลี่ยทั้งปีนี้อยู่ที่ระดับ 65 เหรียญสหรัฐ ส่วนผลกระทบจากการตั้งสำรองค่าใช้จ่ายพนักงานตามกฎหมายแรงงานฉบับใหม่ บริษัทจะตั้งสำรอง 760 ล้านบาท จากพนักงานที่มีอยู่ราว 5,100 คน
กรรมการผู้จัดการ IRPC กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการทบทวนแผนลงทุนโครงการ MARS(Maximum Aromatics Project) มูลค่า 3 หมื่นล้านบาท โดยรอดูภาวะตลาดและรูปแบบโครงการเพื่อลดต้นทุน คาดว่าจะมีความชัดเจนในไตรมาส 2 ส่งผลให้การจัดหาผู้รับเหมาเลื่อนออกไปจากกลางปีนี้ และโครงการการทั้งหมดจะแล้วเสร็จในปี 2566 โดยคาดว่าจะอัตราผลตอบแทนการลงทุน (IRR) ระดับ 14-16% หรือมีกำไรประมาณ 3 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และสร้างผลตอบแทน ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีจาก 17% เพิ่มเป็น 27%
ส่วนการเข้าลงทุน 15% ในบริษัท Guangzhao Saiju Performance Polymer Ltd. (GZSJ) สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งบริหารจัดการ Platforms ภายใต้ชื่อ “IPLAS” นั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการรอรัฐบาลจีนอนุมัติการลงทุน คาดว่า GZSJ จะมีกำไร 75-150 ล้านบาทใน ปี 2562 ซึ่งบริษัทจะรับรู้กำไรตามสัดส่วนการลงทุน
บล.บัวหลวง แนะนำ “ซื้อ” PTTEP ราคาเป้าหมาย 157 บาท หลังติดตามผู้บริหารของ PTTEP ไปพบนักลงทุนสถาบันที่ประเทศสิงคโปร์เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา นักลงทุนมีมุมมองเชิงบวกต่อดัชนีหุ้น แต่ยังคงรอรัฐบาลใหม่ก่อนที่จะเข้าซื้อหุ้น และรู้สึกพอใจกับการเข้าซื้อกิจการเมอร์ฟี่ ออยล์ คอร์ปอเรชั่น ในประเทศมาเลเซีย แต่จะยังไม่รีบเข้าซื้อหุ้น หาก PTTEP สามารถดำเนินโครงการตามแผนที่วางไว้ เราคาดว่าเป็นปัจจัยหนุนมูลค่าหุ้นให้สูงขึ้น
บล.เคทีบี (ประเทศไทย)ให้ราคาเป้าหมาย PTTEP อยู่ที่ 139 บาท คาดไตรมาส 1 มีกำไรสุทธิ 12,512 ล้านบาท ลดลง 6.5% จากระยะเดียวกันปีก่อน แต่เพิ่มขึ้นถึง 41.6% จากไตรมาส 4 โดยหลักเป็นผลจากกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เกี่ยวข้องกับภาษีประมาณ 1,900 ล้านบาท ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นมาประมาณ 0.6 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ส่วนกำไรทั้งปีนี้มีโอกาสเพิ่มขึ้นอีก 20% จากประมาณการของเรา คาดว่าการเข้าซื้อกิจการในมาเลเซียจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 2 และจะรับรู้กำไรในปีนี้ ประมาณ 4,000 ล้านบาท
ทางด้าน บริษัทปตท.(PTT) นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวว่า ปตท.ร่วมกับบริษัทกัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF)เข้าร่วมประมูลพัฒนาโครงการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะ 3 (ช่วงที่1) และโครงการท่าเรือแหลมฉบัง (ทลฉ.) ระยะที่ 3 (ท่าเทียบเรือ F) ในอนาคตยังมองโอกาสที่จะมีความร่วมมือในธุรกิจอื่น ๆ ที่สามารถส่งเสริมซึ่งกันและกัน ที่ผ่านมา ปตท.ได้ร่วมมือกับหลายกลุ่มทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ส่วนการลงทุนขณะนี้ ปตท.ให้ความสำคัญกับการลงทุนในกลุ่มประเทศ CLMV โดยเฉพาะในธุรกิจน้ำมันและค้าปลีกที่ปตท.ประสบความสำเร็จค่อนข้างมากในประเทศกัมพูชา และลาว นอกจากนี้ก็ให้ความสำคัญกับภูมิภาคตะวันออกลางในธุรกิจผลิตปิโตรเลียมซึ่งเป็นแหล่งที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะในโมซัมบิก