“คิงส์ฟอร์ด” คาดหุ้นเม.ย.นิ่ง แนะช้อปรายตัว

HoonSmart.com>>”บล.คิงส์ฟอร์ด” คาดดัชนีหุ้นเดือนเม.ย.นี้ทรงตัวในกรอบระดับ 1,620-1,670 จุด แนะกลยุทธ์เลือกหุ้นใหญ่ กลุ่ม MSCI ธีมการลงทุนและกำไรโตไตรมาส 1 ส่วนทรีนีตี้มองตลาดคล้ายกัน

นายอภิชัย เรามานะชัย รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์(บล.) คิงส์ฟอร์ด เปิดเผยว่า ดัชนีหุ้นในเดือนเม.ย. 2562 คาดจะแกว่งตัวในกรอบระดับ 1,620 –1,670 จุด นักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงรอปัจจัยสำคัญทั้งในและต่างประเทศ เช่น ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอย่างเป็นทางการ การเจรจาการค้า สหรัฐ – จีน ที่คาดจะได้ข้อยุติใน เม.ย.และประเด็น Brexit ที่สภาอังกฤษจะต้องหาข้อสรุปให้ได้ ก่อน 12 เม.ย.หรือ 22 พ.ค.นี้

ขณะเดียวกันผลประกอบการ บจ.ในไตรมาส1/2562 ภาพรวมมีโอกาสฟื้นตัวจากแรงหนุนกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีที่จะกลับมากำไรจากสต็อกน้ำมันราว 10 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่กำไรกลุ่มธนาคารคาดจะกลับมาขยายได้ แม้ว่าสินเชื่อช่วง 2 เดือนแรกยังทรงตัว หรือลดลง 0.35% แต่ภาระกันสำรองและค่าใช้จ่ายน่าจะปรับตัวลดลง

“กลยุทธ์การลงทุน แนะนำทยอยซื้อหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการลงทุนหลังเลือกตั้ง เช่น AMATA, BBL, CK, STEC, WHA หุ้นที่เป็นผลบวกจาก MSCI เช่น DTAC, CENTEL, INTUCH, RATCH และเก็งกำไรหุ้นที่คาดกำไรไตรมาส 1 เติบโตดี เช่น BAY, BDMS, BH, CPF, DTAC, ERW, KTC, ROBINS, RS, SAWAD” นายอภิชัยกล่าว

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ คาดดัชนีหุ้นเดือนเม.ย.จะแกว่งตัว Sideways โดยให้กรอบแนวต้านสำคัญไว้ที่ระดับ 1,680 จุด ส่วนแนวรับแรกประเมินไว้ที่ 1,620 จุด และแนวรับสำคัญอยู่ที่ 1,580 จุด ในเชิงกลยุทธ์แนะนำนักลงทุนขึ้นขาย-ลงซื้อตามกรอบแนวต้าน-แนวรับดังกล่าว

กลยุทธ์แนะนำกลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะปรับตัวดีกว่าตลาด ได้แก่ 1.กลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ที่จ่ายปันผลสูง แต่ราคายังขึ้นน้อยกว่าตลาดและถูก ได้แก่ BBL, PTTGC, BCP 2.กลุ่มโรงกลั่นที่คาดว่าจะมีผลกำไรดีในไตรมาส 1 ได้แก่ TOP 3.กลุ่มหุ้นที่ได้ประโยชน์จากเกณฑ์ NVDR ของ MSCI และราคายังคงขึ้นน้อยได้แก่ MTC, BDMS, CPN, CPALL หุ้นที่มีโอกาสเข้าสู่ดัชนี MSCI ในเดือนพ.ค. คือ KTC กลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะถูกนำเข้าสู่ดัชนี SET50 ในรอบเดือน มิ.ย.ได้แก่ OSP กลุ่มหุ้นอสังหาริมทรัพย์ที่อาจมีแรงเข้าซื้อเพื่อเก็บเงินปันผล ได้แก่ AP, QH กลุ่มหุ้นที่รับรู้ข่าวร้ายไปมากและมีความเสี่ยงต่ำแล้ว ได้แก่ ROBINS และกลุ่มหุ้นที่มักปรับตัวได้ดีในทุกไตรมาส 2 ของทุกๆปี ได้แก่ KCE

” หากต้องการเก็งกำไรบนธีม MSCI ตัวที่น่าสนใจคือ MTC รวมถึง BDMS, CPN, CPALL ราคาขึ้นน้อยกว่าตลาด”นายณัฐชาต กล่าว

สำหรับปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามในเดือนเม.ย.ได้แก่ การปรับตัวลงมาของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond yield) สหรัฐฯทำให้ดัชนีหุ้นไทยมีความน่าสนใจมากขึ้นผ่านมิติของ Earning yield gap (EYG) จากการคำนวณล่าสุดพบว่าระดับดัชนีที่จะทำให้ EYG กลับเข้าสู่ค่าเฉลี่ยระยะยาวได้แก่ 1,620 จุด ซึ่งเป็นที่มาของแนวรับแรกประจำเดือนเม.ย. มองว่าจะเป็นปัจจัยประคับประคองตลาดหุ้นไทยที่สำคัญในระยะสั้น